4.เป็นท่านใช่หรือไม่
ฟ่านรั่วเจี๋ยไม่อยากเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ แต่เมื่อมีหมากตัวสำคัญหลุดเข้ามาอยู่ในมือก็เหมือนสวรรค์ชี้ทางสว่าง และนางจำเป็นต้องรักษาบ้านเกิดของตน ยามนี้กองกำลังของเกาเจียวหั่วซุ่มตัวอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง นางต้องหาวิธีแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้ด้วยการส่งข่าวแก่เขา เพราะภายในแคว้นหมิงมีไส้ศึกที่พร้อมเปิดประตูเมืองให้แก่พวกต้าหลาง ซึ่งนางจะยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยทุกชีวิตจะไร้ซึ่งอิสรภาพ อีกทั้งสตรีที่อยู่ในตำหนักซึ่งไร้คนเหลียวแล ไม่มีอำนาจใด ย่อมถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
แต่ระหว่างทางที่นางพยายามไปให้ถึงกองกำลังของเกาเจียวหั่วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน สตรีชาวบ้านหลายคนถูกพวกทหารเลวไล่ปลุกปล้ำ ตัวนางไร้วรยุทธ์แต่ไม่ใช่พวกที่จะงอมืองอเท้าเห็นคนอ่อนแอกว่าถูกข่มเหง
“ปล่อยพวกนางเสีย พวกเจ้ายังเป็นชายอกสามศอกอยู่หรือไม่”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่แค่อกสามศอก น้องชายข้ายังยาวใหญ่ดั่งม้าศึก เจ้าอยากพิสูจน์หรือไม่” ทหารกลุ่มนั้นมองสตรีตรงหน้า นางนุ่งชุดคล้ายหมอยา สวมหมวกและมีตาข่ายอำพรางใบหน้า กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าทรวดทรงเย้ายวนใจโดยเฉพาะหน้าอกนางซึ่งอวบอิ่มสะดุดตา
“ก่อนที่เจ้าจะได้แสดงให้ข้าได้เห็นว่าขาที่สามของเจ้ายาวใหญ่และแข็งแกร่ง ข้าเกรงว่ามันคงเน่าจนต้องตัดทิ้งเสียก่อน” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยจบจึงล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ ในมือนางมีขวดเล็กๆ พอเปิดจุกออกก็มีกลิ่นของสมุนไพรลอยออกมา จากนั้นไม่นานด้วงกว่างหลายสิบตัวก็บินเข้าไปรุมจัดการทหารต้าหลาง
“จะ...เจ้าเป็นนางมารโดยแท้!” ทหารโฉดเอ่ยออกมาเช่นนั้น และเกิดความโกลาหลในเวลาต่อมา
ฟ่านรั่วเจี๋ยใช้ช่วงเวลาดังกล่าวหลบหนีไปด้วย แต่ถึงนางจะคล่องแคล่วเพียงใดทว่ามิอาจสู่แรงบุรุษ อีกทั้งคนพวกนั้นยังเป็นทหารเสียด้วย หัวไหล่บางถูกกระชากจากด้านหลัง ตัวนางลอยหวือหล่นลงไปตกอยู่บนผืนหญ้าที่มีหนามแหลมคม
“เจ้าทำให้ข้าต้องเสียเวลา ฉะนั้นเย็นนี้ข้าจะชดเชยทุกสิ่งที่เสียไปกับเจ้าแทน เป็นเมียข้าก่อน จากนั้นก็แขวนป้ายรับแขกในค่ายทหาร”
“ยะ...อย่า ข้ามีหน้าที่นำจดหมายไปส่งมอบให้แก่ชินอ๋องชิงซาน” นางประกาศออกไปเพื่อหวังป้องกันภัย
“เหลวไหล เจ้าเป็นใครถึงจะได้รับเกียรติสำคัญนั้น”
“แต่ข้ามีสิ่งนี้” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะแสดงป้ายหยก มือใหญ่ของทหารเลวได้ต่อยเข้าที่ท้องน้อยของนางด้วยต้องการทำให้สิ้นฤทธิ์
ฟ่านรั่วเจี๋ยรู้สึกปวดมวนท้อง อาการดังกล่าวส่งผลให้นางมิอาจขยับตัวหนีไปไหน
“อยากเป็นจอมยุทธ์หญิงพิทักษ์คุณธรรมใช่หรือไม่ ข้าชอบนักสตรีดื้อด้าน ไม่กลัวความตาย”
ทหารคนเดิมแลบลิ้นน่าเกลียด ดวงตาของมันวาววามและมองฟ่าน-รั่วเจี๋ยด้วยความหื่นกระหาย
“บัดซบ เจ้ามันก็แค่เศษสวะ คิดว่าจะข่มเหงข้าได้รึ”
“ฮ่าๆ เหตุใดจะไม่ได้ ตอนนี้ใครกันที่ขึ้นคร่อมเจ้าอยู่” มันว่าและฉีกเสื้อผ้านางอย่างไม่ปรานี ตามด้วยการดึงหมวกตาข่ายออก
ดวงตากลมโตของฟ่านรั่วเจี๋ยแดงก่ำ นางมองคนเลวแสนกักขฬะอย่างชิงชัง
“เอ ไฉนถึงมีผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้อีก เจ้าเป็นใครกันแม่นางน้อย”
ทหารโฉดเอ่ยถาม มือใหญ่ข้างหนึ่งพยายามกระชากเสื้อผ้าออกจากร่างนาง พอฟ่านรั่วเจี๋ยดิ้นขัดขืนมันก็คิดจะตบลงบนหน้านาง
“ดิ้นแรงๆ อย่างนี้ เดี๋ยวข้าจะจัดการให้สาสมความพยศของเจ้า แต่ก่อนอื่นขอชมใบหน้างามๆ นี้ก่อนว่าคุ้มค่าเหนื่อยแค่ไหน”
มันเอ่ยจบจึงดึงผ้าผืนบางที่นางผูกติดใบหน้าออก และพริบตาต่อมาเสียงร้องโหยหวนพลันดังลั่น
“ผะ...ผีหลอก!”
ทหารผู้นั้นเกือบเสียสติ ภาพที่ประจักษ์ต่อสายตามันยากลบเลือนได้ง่ายๆ ราวกับเป็นคำสาปร้ายที่จะติดตัวมันไปจนวันตาย
“อัปลักษณ์โดยแท้ เจ้าช่างเสียชาติเกิด ข้าสมควรควักลูกตาทิ้ง!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหยียดหยามจึงทำให้นางได้สติกลับคืน
ฟ่านรั่วเจี๋ยสบโอกาสที่อีกฝ่ายตกใจ นางใช้เข่ากระแทกเข้ากลางจุดบอบบางใต้แท่งหยกของมัน เป็นเหตุให้ทหารคนนั้นจุกเจ็บ พอมันดิ้นปัดไปมาบนพื้น นางเลยเคลื่อนตัวหนีและมุ่งหน้าตั้งใจไปส่งข่าวให้แก่แม่ทัพเกา
“จับตัวนางไว้ อย่าให้หนีรอดไปได้”
เสียงที่ดังก้องจากด้านหลังมิอาจทำให้ฟ่านรั่วเจี๋ยหยุดฝีเท้าตน นางต้องไปให้ถึงกำแพงเมืองทางทิศใต้ซึ่งมีกองทัพของแคว้นหมิง แล้วส่งข่าวให้แก่แม่ทัพหนุ่มเกาเจียวหั่วทราบว่านางจับตัวชายผู้หนึ่งเอาไว้ได้
ทว่าความตั้งใจของนางคงไม่เป็นผล เมื่อวิ่งไปได้ราวๆ ครึ่งลี้ เบื้องหน้าก็มีทหารของต้าหลางปิดล้อมทางเอาไว้ ดังนั้นนางจึงมิอาจฝ่าไปได้ จำเป็นต้องวิ่งหลบไปอีกทาง
หัวใจนางเต้นแรงเหลือเกิน ในหัวคิดถึงแม่ทัพเกา ยามนี้นางกำลังเดินหมากครั้งสำคัญ ซึ่งต้องใช้ทั้งชีวิตเดิมพัน
ยามนั้น มู่ชิงซานไม่เคยพบสตรีนางใดอัปลักษณ์มาก่อน เขานิยมของสวยงาม เมื่อเห็นใบหน้านางผู้นี้ก็ต้องเบือนหน้าหนี ความรู้สึกตึงเครียดเกิดขึ้นฉับพลัน ทว่าในหัวกลับคิดถึงสิ่งที่มารดาเคยกล่าวไว้ หรือนางผู้นี้มีวาสนาผูกพันต่อเขา หาใช่ฟ่านเยี่ยฉี ไซซีแห่งแคว้นหมิง!
“เสียลูกตาโดยแท้ ข้าคงโชคร้ายไปหลายวัน หรือถึงอาจต้องนั่งสมาธิปัดเป่าความน่ากลัวของเจ้าออกจากตัว” เขาทำเสียงฮึ่มฮั่ม นางอัปลักษณ์ใช่...คำนี้ถูกต้องแน่แท้ ตั้งแต่เกิดมาความงามของสตรีคืออาหารชั้นเลิศของเขา หญิงงามควรมีดวงตาสวยดำขลับรับแพขนตางอน ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ แก้มเนียนใสแต้มสีสันดั่งลูกท้อ และอันที่จริงนางผู้นี้พอจะมีสิ่งที่กล่าวมาให้เห็นอยู่บ้าง ทว่าสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาตอนนี้คือจมูกของนาง!
“น่าเกลียดน่าชังโดยแท้!”
มู่ชิงซานไม่ใช่คนที่นิยมเหยียดหยามสตรี ทว่าการพบเห็นนางผู้นี้กลับทำให้เขาหลุดปากด้วยถ้อยคำร้ายๆ ติดกันหลายหน
“ชะ...ช่วยข้าด้วย” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยแล้ววิ่งถลามาหาเขาราวกับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ชายหนุ่มกลั้นลมหายใจลึก เขาเผลอทำอย่างนั้นด้วยตะลึงงันต่อใบหน้านาง กระนั้นถึงจะมีดวงหน้าแสนขี้ริ้วขี้เหร่ ทว่าเมื่อพิศรูปร่างนาง เขาต้องนึกขบขันตนที่มีจิตใจวิปลาส หน้าอกหน้าใจนางอวบสวย ตรงยอดถันนูนเด่นชัดในเสื้อผ้าตัวบางพลิ้วซึ่งยามนี้มันแนบเนื้อ แต่เขาคงทำใจไม่ได้ยามต้องมองใบหน้าแสนอัปลักษณ์
“คุณชายโปรดช่วยข้า”
ฟ่านรั่วเจี๋ยร้องเรียกเขาและวิ่งตรงมาอย่างแน่วแน่ ทว่าด้วยความตกใจและตื่นตระหนกจึงไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายเป็นชายที่นางไม่ควรเข้าใกล้อย่างที่สุด
“เหตุใดข้าต้องลำบากเพราะเจ้า” มู่ชิงซานตวาดใส่ เพื่อปรามอีกฝ่ายที่กำลังจะโผเข้ามาหาตน
“บ้านเมืองกำลังมีภัยใหญ่หลวง ผู้อ่อนแอกำลังถูกคนใจดำอำมหิตรุกราน บุรุษเช่นท่านยังเพิกเฉยได้หรือ”
“ฮ่าๆ ช่างน่าขัน แล้วใครใช้ให้พวกมันเอาแต่หดหัวไม่สามัคคีกันล่ะฮ่องเต้แคว้นหมิงก็อ่อนแอ แผ่นดินนี้สมควรตกเป็นของต้าหลาง”
เมื่อหญิงสาวเข้ามาอยู่ใกล้ๆ มู่ชิงซาน นางจึงอ้าปากค้าง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และด้วยแสงแดดสุดท้ายของวันจึงทำให้นางเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนของแคว้นหมิง!
“ทะ...ท่าน เป็นท่านใช่หรือไม่”
นางมองอีกฝ่าย ยามนี้มู่ชิงซานไม่ได้สวมหน้ากากเหล็กหัวหมาป่ากระนั้นด้วยไอสังหารที่แผ่อยู่รอบตัวเขาทำให้นางมั่นใจว่าไม่ผิดตัว และผ้าคลุมสีแดงที่เขาสวมอยู่ก็ปักชื่อมู่ชิงซาน!
“บัดซบ ควรเป็นข้ามากกว่าที่ต้องถามเช่นนั้น เจ้าเป็นคนหรือตัวประหลาด ไขข้อข้องใจให้ข้ารู้เดี๋ยวนี้”
หญิงสาวที่วิ่งมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยจนตัวโยนมองหน้าปีศาจแห่งสงคราม ก่อนหวีดเสียงแหลมใส่เขา “มู่ชิงซาน คนเลวต้าหลาง ท่านจะทำให้แผ่นดินหมิงลุกเป็นไฟ!”
“นับว่าเจ้าตาถึง อัปลักษณ์เช่นนี้ยังมีความดีอยู่บ้าง อย่างน้อยคงหากินด้วยการทำนายที่แม่นยำ ใช่...ข้าคือบุรุษผู้นั้น ชายตระกูลมู่แห่งต้าหลาง”
เป็นยามนั้นที่นางผู้พลัดหลงมาดึงเสื้อที่ขาดปิดเต้านมของตน คราแรกมู่ชิงซานไม่คิดอยากแลเนื้อตัวนางด้วยซ้ำ แต่แผ่นหยกสีขาวเนื้อดีที่สะท้อนกับแสงสุดท้ายของวันที่นางถือไว้ในมือข้างหนึ่งทำให้เขาฉงนฉงาย
“จะ...เจ้าได้มันมาเยี่ยงไร”
รอยยิ้มกว้างบนดวงหน้าที่ใครต่างเห็นว่าอัปลักษณ์ฉายขึ้นอย่างเป็นปริศนา ซึ่งแจ้งชัดแก่มู่ชิงซานว่า นางผู้นี้เป็นสตรีอัปมงคล และเขามิอาจไว้ใจ!!
มู่ชิงซานกระโดดลงจากม้าศึกตัวโตแล้วเข้าไปกระชากหยกจากมือเรียวสวย ดวงตาคมกริบยามนั้นคล้ายก่อเกิดลูกไฟที่พร้อมแผดเผาร่างงามที่มีผิวสีขาวละเอียด สองแก้มนางทาบด้วยเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มสวยเผยอน้อยๆ คล้ายต้องการเย้ายั่ว กระนั้นเขาไม่คิดแยแส สตรีผู้นี้จงใจใช้วิชามารลวงใจเขา แต่นางกลับไม่เจียมสังขารตน!
“ต่ำช้า...เจ้าได้ป้ายหยกนี้มาเยี่ยงไร”
ฟ่านรั่วเจี๋ยไม่ตอบ นางจ้องดวงตาเขาอย่างท้าทาย ในใจคิดลำพองมิอยากเชื่อว่าจุดอ่อนของปีศาจกระหายสงครามคือน้องชายของเขา มู่หรูซื่อนางจะปล่อยให้เขารับป้ายหยกนี้ไปเป็นของต่างหน้า ส่วนชายผู้ที่นางบังเอิญจับตัวเขาไว้ได้คงใช้เป็นหมากต่อรองกับศัตรูของแคว้นหมิง
“ท่านไม่เห็นความงามของข้ารึ” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ย
“ฮ่าๆ สวรรค์เมตตา สตรีที่ดูแล้วไม่แจ้งชัดว่าเป็นคนหรือผียังกล้าอวดอ้างโฉมของตน เจ้าช่างไม่เจียมตัว”