บทที่ 1 (1)
คฤหาสน์ฟาติยาซ์ ประเทศดาลิยา...
แม่นมซึ่งได้รับคำสั่งจากคุณผู้ชายแห่งคฤหาสน์ให้ตามคุณหนูไปพบ ได้ยืนยิ้มแป้นมองคุณหนูผู้งดงามด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความชื่นชมเด็กตัวเล็กๆ ที่นางได้อุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของอิสตรี ที่พร้อมสำหรับการออกเหย้าออกเรือนเมื่อเวลาที่เหมาะสมได้เดินทางมาถึง
“เด็กๆ คะ ใครระบายสีเสร็จแล้วเอามาให้คุณครูดูหน่อยค่ะ”
น้ำเสียงหวานๆ ฟังไพเราะเสนาะหู กิริยาท่าทางที่ดูอ่อนโยน รอยยิ้มหวานๆ ซึ่งระบายอยู่ทั่วดวงหน้างามลออเป็นสิ่งจูงใจให้ลูกศิษย์ตัวน้อยๆ นับสิบคนต่างก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังคุณครูคนสวย
“เสร็จแล้วค่ะคุณครู”
หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ที่ตัวออกจ้ำม้ำขาวจั๊วะกว่าใครเพื่อนเป็นหน่วยกล้าตายเงยหน้าขึ้น พร้อมกับฉีกยิ้มแป้นน่ารักสดใสยื่นผลงานฝีมือของตัวเองให้คุณครูคนสวยได้ชื่นชม
“ไหน...คุณครูขอชมผลงานหน่อยค่ะ วันนี้ใครได้ห้าดาวคุณครูจะเพิ่มมัฟฟินช็อกโกแลตให้อีกสองชิ้น”
“เย้ๆๆๆ”
ลูกศิษย์ตัวน้อยทั้งเด็กชายเด็กหญิงราวๆ สิบคนต่างก็แย่งกันยื่นผลงานให้คุณครูคนสวยได้ชื่นชมพร้อมกับกระโดดเหยงๆ ร้องตะโกนลั่นด้วยความดีใจด้วยรู้ว่ามัฟฟินรวมทั้งขนมหวานรายการอื่นๆ ฝีมือของคุณครูนั้นอร่อยเลิศเป็นที่หนึ่ง
คุณครูคนสวยใจดีที่สอนศิลปะให้เด็กนักเรียนโดยไม่หวังค่าตอบแทน แถมยังมีอาหารว่างเลี้ยงเด็กๆ เกือบทุกสองชั่วโมงได้คลี่ยิ้มหวานให้กับบรรดาลูกศิษย์ พลางเอื้อมมือไปรับผลงานภาพระบายสีมาจากลูกศิษย์ที่ต่างก็แย่งกันเสนอผลงานให้คุณครูชื่นชม
แม่นมก้าวเท้าช้าๆ มาหาเด็กน้อยผู้รักงานศิลปะทั้งหลาย พร้อมกับตบมือเสียงดังแกล้งตีหน้าขึงขังแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยความรักเอ็นดู
“เด็กๆ จ๊ะใครส่งการบ้านให้คุณครูแล้วไปรับมัฟฟินได้เลย”
“เย้ๆ ได้กินขนมแล้ว”
จากที่ตอนแรกพากันกรูมารุมล้อมคุณครูคนสวยผู้ใจดี ตอนนี้เด็กๆ กลับพากันเฮโลไปตรงมุมของว่างแล้วตบมือดีใจดวงตาเต้นระริกมันระยับ เมื่อเห็นหญิงรับใช้สองคนกำลังช่วยกันถือถาดมัฟฟินหอมกรุ่นสดใหม่ที่เพิ่งเอาออกมาจากเตา พร้อมด้วยน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบอีกสองเหยือกใหญ่มาจัดเตรียมเป็นของว่างไว้เพื่อรอเสิร์ฟพวกตน
“เด็กๆ น่ารักนะคะแม่นม”
เรียวปากสีหวานเอ่ยสนทนากับแม่นมแต่ดวงตาคู่สวยสี ‘ไอซ์ เอควา (Ice aqua)’ ซึ่งเป็นสีอ่อนใสราวกับผืนน้ำเป็นสีนัยน์ตาที่หายาก และสาวอาหรับน้อยคนนักที่จะมีสีดวงตาเช่นนี้ ได้จับจ้องมองไปยังลูกศิษย์ตัวเล็กๆ ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินมัฟฟินด้วยความเอร็ดอร่อย
“ค่ะคุณหนู พอมีมัฟฟินเข้าปากก็เงียบกริบผิดกับเมื่อครู่เสียสิ้น”
แม่นมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหน้านี้เด็กๆ แต่ละคนต่างก็คุยจ้อไม่ได้หยุดปาก แถมยังร้องเฮลั่นแข่งกันคุยแข่งกันเสนอผลงานของตัวเองดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณห้อง
เรียน ซึ่งเป็นสวนพฤกษชาติอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพรรณ ที่คุณหนูของนางได้ยืมเป็นสถานที่เรียนชั่วคราวของเด็กๆ ซึ่งล้วนเป็นลูกหลานของบรรดาแม่บ้านคนรับใช้ในคฤหาสน์ฟาติยาซ์และบ้านใกล้เรือนเคียง พอได้มัฟฟินช็อกโกแลตชิ้นโปรดเข้าปาก เสียงดังเซ็งแซ่เมื่อสักครู่ก็อันตธานหายไปราวกับไม่มีลูกศิษย์ตัวน้อยๆ อยู่ในสวนพฤกษชาติอีก
“นมมีอะไรหรือเปล่าคะถึงได้ลงมาที่นี่ หรือว่าอยากมาช่วยรีน่าสอนศิลปะเด็กๆ”
“โอ๊ย! ไม่เอาหรอกค่ะคุณหนู ให้นมเลี้ยงเจ้าพวกลิงทะโมนพวกนี้นมขอตัวเป็นคนแรก เลี้ยงแค่คุณหนูคนเดียวนมก็เหนื่อยจะแย่แล้ว”
แม่นมหรือที่รู้จักกันในนาม ‘อัยนูน’ บ่นเสียยืดยาวซึ่งเป็นการบ่นเพราะความเอ็นดูมากกว่าเบื่อหน่ายกับความน่ารักของเหล่าเด็กๆ ที่กำลังนั่งทานของว่างด้วยความเอร็ดอร่อย นางทอดดวงตาสีสนิมมองคุณหนูรีน่าด้วยความรักชื่นชมในความงดงามของเด็กตัวน้อยๆ ที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ
คุณหนูรีน่า หรือ อัลรีน่า ฟาติยาซ์ เป็นลูกครึ่งอาหรับ-ไทย บุตรสาวเพียงคนเดียวของพลเอกรอซี ฟาติยาซ์ กับคุณธัญจิราซึ่งเป็นคนไทย
พลเอกรอซี บิดาของอัลรีน่าเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เป็นองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายอะดะบี อัลดาลีฟ ประมุขผู้ปกครองประเทศดาลิยา ซึ่งเป็นประเทศที่เกิดใหม่ในทวีปตะวันออกกลาง ดาลิยาเป็นประเทศเล็กๆ ทว่าร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรตามธรรมชาติที่มีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าทองคำนั่นก็คือ ‘น้ำมัน’
อัลรีน่าคลี่ยิ้มหวานดวงตาคู่สวยสีไอซ์ เอควา (Ice aqua) เต้นระริกแพรวพราว ขณะที่เจ้าตัวก้าวเท้าวยาวๆ เข้ามาสวมกอดร่างของแม่นมอัยนูนไว้แนบแน่น ใบหน้างามสวยคมซบลงกับอกอบอุ่นของแม่นมก่อนจะเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะ
“แหม...นมคะ ตอนเด็กๆ รีน่าไม่ได้ซุกซนขนาดนั้นสักหน่อย ถ้ารีน่าซนมาก คุณแม่ต้องบ่นให้รีน่าฟังแล้วล่ะค่ะ”
“ใครว่าล่ะ คุณหนูซนมากจนคุณแม่ท่านเบื่อที่จะบ่นต่างหาก”
นมอัยนูนค้านเสียงอ่อน ยกมือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัยขึ้นไปลูบไล้ใบหน้าสวยคมเข้มดุจดังเทพีอาหรับพร้อมกันนั้นก็เอ่ยชมด้วยความภาคภูมิใจ
“คุณหนูรีน่าของนมโตขึ้นแล้วสวยมาก สวยยิ่งกว่าเทพีใดๆ ในโลกนี้ หากบุรุษใดได้ครอบครองหัวใจดวงน้อยของคุณหนูรีน่า บุรุษผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด”
อัลรีน่าหัวเราะเบาๆ กับคำพูดที่ผิดแปลกไปจากทุกวันของแม่นมอัยนูน
“วันนี้นมมาแปลกนะคะ นึกยังไงถึงพูดถึงคู่ครองของรีน่า”
“นมอยากเห็นคุณหนูเป็นฝั่งเป็นฝา คุณหนูอายุมากแล้วควรจะออกเรือนมีลูกมีหลานไว้สืบสุกล”
ผู้สูงวัยอาบน้ำร้อนมาก่อน ช่างฉลาดเอ่ยตะล่อมชักแม่น้ำทั้งห้ายิ่งนัก ภารกิจของนางในชั่วโมงนี้ไม่ใช่แค่เพียงการทำหน้าที่เป็นคนมาตามคุณหนูไปพบอาคันตุกะที่กำลังเดินทางมาถึง แต่นางต้องทำหน้าที่เป็นนักเจรจาเอ่ยหว่านล้อมชักจูงให้คุณหนูอัลรีน่าได้คล้อยตามด้วย
อัลรีน่าตีหน้ามุ่ยแกล้งถอนหายใจยาวและดังๆ ให้แม่นมได้ยิน “เฮ้อ!...ทำไมคุณพ่อคุณแม่และนมอัยนูนถึงผลักไสไล่ส่งให้รีน่าออกจากบ้านไวๆ รีน่าเพิ่งอายุยี่สิบสามปีเองนะคะ จะให้รีน่าด่วนมีครอบครัวไปทำไมกัน”
“อีกเดือนกว่าก็จะครบยี่สิบสี่ปีต่างหากค่ะคุณหนูรีน่า อายุขนาดนี้ถือว่ามากเกินไปบางคนเขาออกเรือนตั้งแต่อายุสิบแปดสิบเก้าก็มี”
แม่นมอัยนูนแก้ต่างพร้อมกับเอ่ยค้านทันควัน เห็นท่าว่าการทำหน้าที่เป็นทูตเจรจาของนางจะไม่บรรลุผลสักเท่าไหร่
“ใครจะออกเรือนมีลูกมีหลานเร็วยังไงรีน่าก็ไม่สนใจหรอกค่ะ รีน่ายังอยากใช้ชีวิตโสดไปอีกสักสามสี่ปี เป็นคุณครูสอนศิลปะเด็กๆ ไปเรื่อยๆ รีน่ายังไม่อยากคิดถึงเรื่องคู่ครองในตอนนี้”
อัลรีน่าตีหน้าเมื่อย ขณะหลบเลี่ยงสายตาของแม่นมด้วยการเดินไปเก็บอุปกรณ์วาดภาพระบายสีทั้งของตัวเองและของเด็กๆ ลงในกล่องผ้าใบใหญ่ เธออยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ ให้สมกับความอึดอัดในเรื่องที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนาในขณะนี้ เพราะใช่จะมีแค่แม่นมอัยนูนเท่านั้นที่คอยย้ำเตือนเร่งเร้าเรื่องคู่ครองของเธอ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากแม่นม คราใดที่ได้พบหน้ากันบุพการีทั้งสองก็มักจะเอ่ยพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันดับแรก
แม่นมอัยนูนก้าวไปดักหน้าคุณหนูรีน่าจอมเลี่ยง จากนั้นก็จับยึดต้นแขนเนียนขาวผ่องไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใครอยากออกเรือนมีครอบครัวช้าๆ นมไม่ว่า แต่นมอยากให้คุณหนูได้นึกถึงคำมั่นสัญญาที่ท่านนายพลได้เอ่ยไว้กับเจ้าชายอะดะบี คุณหนูรีน่าอย่าให้คุณพ่อคุณแม่ต้องกลายเป็นคนตระบัดสัตย์ต่อเจ้าแผ่นดินเลยนะคะ”
อัลรีน่าชะงักมือที่กำลังเก็บอุปกรณ์งานศิลปะ หญิงสาวกัดเม้มริมฝีปากแน่น ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนดวงตาคู่สวยสีอ่อนใสราวกับผืนน้ำที่เต็มไปด้วยความลำบากใจไม่ให้นมอัยนูนได้เห็น
“ที่นมมาหารีน่าก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ องครักษ์ของเจ้าชายอะดะบีกำลังเดินทางมาที่บ้าน เพื่อเป็นตัวแทนคุยกับท่านนายพลและคุณผู้หญิงในเรื่องนี้ นมคิดว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็คงเดินทางมาถึงแล้ว”
เอ่ยออกไปแล้วแม่นมอัยนูนก็ได้แต่หวั่นๆ เกรงว่าจะเจอปฏิกิริยาต่อต้านจากคุณหนูผู้เลอโฉมงดงาม แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อได้เห็นท่าทีที่ค่อนข้างสงบไม่โวยวายแม้แต่นิดเดียวของคุณหนูอัลรีน่า
“นมไปเรียนคุณพ่อคุณแม่นะคะว่าอีกสักครู่รีน่าจะเข้าไปพบ รีน่าขอไปเปลี่ยนชุดที่เปื้อนด้วยคราบสีก่อน”
“คุณหนูรีน่าคะ...”
แม่นมครางเรียกเสียงแผ่วเบา ทำท่าจะเข้าไปสวมกอดร่างบางไว้ด้วยความสงสาร แต่คุณหนูอัลรีน่าของนางก็เบี่ยงกายออกห่างไม่ยอมรับอ้อมแขนอันอบอุ่น
“นมรีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่จะรอ”
อัลรีน่าเอ่ยบอกเบาๆ รอจนกระทั่งร่างของแม่นมอัยนูนเดินออกไปจากสวนพฤกษชาติแล้ว จึงได้ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้า พลางย้อนนึกคิดไปถึงความตื่นเต้นของเด็กหญิงตัวเล็กๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน
‘คุณแม่คะ โตขึ้นรีน่าจะได้เป็นเจ้าหญิงหรือเปล่าคะ’
คุณธัญจิราหัวเราะเบาๆ กับคำถามของลูกน้อยที่เอี้ยวตัวหันมาถาม ดวงตากลมโตสีอ่อนใสเปล่งประกายตื่นเต้นสุกสกาวกับความใฝ่ฝันของตัวเอง
‘รีน่าจะได้เป็นเจ้าหญิงแน่นอนจ้ะ เมื่อไรที่รีน่าเติบโตถึงวัยอันสมควร เจ้าชายอะดะบีจะส่งองครักษ์มารับตัวหนูไปอยู่ที่พระราชวัง’
ขณะที่เอ่ยบอกลูกสาวตัวเล็ก มือของผู้ที่เป็นแม่ก็สางผมซึ่งยาวถึงกลางหลังให้ลูกสาวจนเป็นมันทิ้งตัวเงางาม จากนั้นก็หยิบริบบิ้นสีชมพูอ่อนมามัดให้อย่างเรียบร้อยเพื่อไม่ให้ลูกสาวรำคาญ
‘เจ้าชายอะดะบีจะรับรีน่าไปอยู่กับเจ้าชายอิสดรีสส์ถูกไหมคะ’
เด็กน้อยนัยน์ตาสวยสีอ่อนใสราวกับน้ำช่างซักช่างถามมารดาไม่ได้หยุด ริมฝีปากเล็กๆ สีแดงระเรื่อขยับแย้มยิ้มหวาน ขณะนึกถึงภาพของตัวเองเวลาได้เป็นเจ้าหญิงเดินเคียงคู่กับเจ้าชายอิสดรีสส์ อัลดาลีฟ โอรสเพียงองค์เดียวของเจ้าชายอะดะบี อัลดาลีฟ
‘เจ้าชายอะดะบีตรัสบอกว่า ถ้าหากรีน่าอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์เมื่อไร พระองค์จะจัดพิธีอภิเษกให้รีน่ากับเจ้าชายอิสดรีสส์’
ผู้ที่เป็นแม่แย้มยิ้มกว้างอยากให้เวลานั้นมาถึงเร็วไว เพื่อที่นางจะได้เห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝามีบุรุษหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำได้มาคุ้มครองคอยดูแลอัลรีน่าต่อจากนาง
‘คุณแม่คะ เจ้าชายอีสดรีสส์หล่อไหมคะ’