บทที่ 5
เขากับเธอสนิทกันไวมากและเขาก็มั่นใจว่าเธอเองก็มีใจให้เขาอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าเธอก็ทำให้เขาอกหักรักคุดจนเกิดอาการเป๋ไปเหมือนกัน นึกขึ้นมาแล้วก็น่าขัน แต่ทำไมถึงหัวเราะไม่ออกก็ไม่รู้ เขาบอกรักเธอและขอคำตอบว่าเธอนั้นคิดยังไงกับเขา เธอเขินอายที่จะตอบคำถามนั้นในทันที เขาจึงให้เวลาเธอได้คิด กระทั่งคืนถัดมาเขาก็ได้คำตอบ
ขณะรอฟังคำตอบจากดารัน หัวใจของเขาในวัยสามสิบห้ากลับเต้นไม่เป็นจังหวะ มันตื่นเต้นราวกับหัวใจของเด็กหนุ่มวัยสิบหกที่ไม่ประสาเรื่องความรัก แต่ทว่าคำตอบที่ได้จากปากเธอมันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาหวัง คำว่า ‘พี่ชาย’ ที่ได้ยินมันเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจก็ว่าได้
“พี่ชาย พี่เขย น้องเมีย...หึ” เสียงหัวเราะแกมเย้ยหยันในโชคชะตาดังมาจากลำคอของหนุ่มใหญ่ นั่นเพราะตอนนั้นเขามั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองคนเดียวอย่างแน่นอน เขามั่นใจว่าดารันมีใจให้เขาไม่มากก็น้อย แต่ทำไมเธอถึงปฏิเสธนี่สิ คือคำตอบที่เขาอยากรู้
ขณะที่นึกถึงเรื่องราวในอดีต โฮมก็ยังคงมองไปยังบ้านหลังที่อยู่ติดกับบ้านของตัวเองเป็นเวลานาน มั่นใจว่าดารันอยู่ข้างใน ตั้งแต่เขาได้ชื่อว่าเป็นพี่เขย เธอก็คล้ายจะจงใจตีตัวออกห่าง อันที่จริงเธอทำแบบนี้ตั้งแต่คืนที่ปฏิเสธรับรักจากเขาด้วยซ้ำ
เพราะหลังจากเขากับดารินแต่งงานกันด้วยเหตุจำเป็น ดารันก็บินไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษและอยู่ที่นั่นตลอดกระทั่งเดินทางกลับมาร่วมงานศพของพี่สาวเมื่อวันก่อน
“เฮ้อ!” ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจทำให้โฮมถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆ กระทั่งตัดสินใจกลับบ้านที่อยู่ห่างแค่ไม่กี่เมตร
ความรู้สึกได้กลับมาบ้านครั้งนี้ของเขามันต่างออกไปจากครั้งก่อน ทั้งๆ ที่บ้านก็หลังเดิมที่เคยอยู่ ดารันก็คือคนเดิมที่เขาเคยรู้จักและยังเป็นคนที่เขารักไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนคือสถานะระหว่างเขากับเธอต่างหาก รวมทั้งไม่แน่ใจด้วยว่าเวลานี้เธอมีใครมาจับจองหัวใจแล้วหรือยัง
พอลงจากรถได้ โฮมก็มายืนเท้าสะเอวมองกำแพงบ้านที่ตอนนี้ถูกทุบทิ้งไปบางส่วน นั่นก็เพื่อให้บ้านทั้งสองหลังได้เชื่อมกัน เขาหมุนตัวเพื่อจะกลับเข้าบ้าน แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวพ้นประตู อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ว้าย!” เสียงนี้ดังมาจากบ้านหลังข้างๆ ไม่ผิดแน่ เสียงที่บ่งบอกถึงความตกใจของเจ้าของไม่น้อย
โฮมรู้ว่าต้นเสียงมาจากไหน เขาพุ่งตัวไปบ้านหลังข้างๆ อย่างไม่รีรอ มือหนาผลักประตูไม้ที่สร้างมาแทนกำแพงปูนออกแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปภายในบ้านพร้อมกับกวาดสายตามองหาดารันไปด้วย พอเห็นเธอนั่งอยู่บนพื้นก็รีบเข้าไปหาพร้อมถามด้วยความเป็นห่วงทันที
“หนูเอย เป็นอะไรหรือเปล่า”
คนถูกถามนั้นถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าโฮมจะปรากฏตัวได้เร็วขนาดนี้ แต่พอตั้งสติได้ก็รีบตอบเขา
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าเหรอ” โฮมหันไปมองหลักฐานที่ยังเห็นวางอยู่ข้างๆ ตัวดารัน นั่นทำเอาเธอยิ้มเจื่อนเพราะถูกเขาจับได้ไล่ทันตามเคย
“คือ…”
“คืออะไรครับ” น้ำเสียงห้วนๆ พร้อมกับแววตาดุถูกส่งมายังคนทำผิดแต่ชอบเฉไฉ
“คือพอดีหนูอยากกินมาม่า แต่มันเก็บไว้สูงไปหน่อยเลยไปเอาเก้าอี้มาต่อขา เขย่งไปเขย่งมาเก้าอี้มันดันพัง” ดารันสารภาพ อันที่จริงเธออยากลากเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวมายืนมากกว่า แต่สายตาเหลือบไปเห็นเก้าอี้พลาสติกเข้าเสียก่อนก็เลยคว้ามาใช้ ใครจะไปรู้ว่ามันจะรับน้ำหนักเธอไม่ไหวขนาดนี้
“แล้วใครให้เอาเก้าอี้พลาสติกมาเหยียบ”
“กะ…ก็หนูไม่รู้”
“แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บแข้งเจ็บขาหรือตรงไหนอะไรไหม” ขณะถามโฮมก็จับตัวดารันหมุนไปหมุนมาเพื่อสำรวจด้วยสายตาตัวเองว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนจริงๆ
“หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ” สรรพนามที่ดารันใช้แทนตัวเองเวลาคุยกับเขายังคงเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เวลาคุยกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่พี่สาว พ่อ แม่ เธอมักจะแทนตัวเองว่าหนูเอย คำแทนตัวเองว่าหนูมันไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย แต่ทำไมเขาถึงหวงอยากให้ดารันใช้กับเขาแค่คนเดียวก็ไม่รู้
“ตะกี้หนูเอยบอกอยากกินมาม่า”
“ค่ะ”
“งั้นไปนั่งรอ เดี๋ยวพี่เอาให้” โฮมส่ายหน้าให้ ก่อนจะอุ้มดารันขึ้นโดยที่เธอยังไม่ได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้ดารันคว้าลำคอของโฮมไว้อย่างอัตโนมัติ พอได้อุ้มถึงรู้ว่าดารันนั้นตัวเบามาก ถ้าถูกเขาแกล้งจับโยนลงพื้นแข็งๆ ร่างกายนี้อาจขาดออกเป็นสองท่อนได้โดยง่าย
โฮมเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็วางเธอให้นั่งลงบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว เวลานี้เขาอยากให้ครัวอยู่ห่างออกไปสักร้อยเมตร เพราะจะได้มีเวลาอุ้มเธอนานขึ้นอีกหน่อย
“เอามาม่าอะไรครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม และเสียงที่ได้ยินมันก็ทำให้ดารันหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด เมื่อครู่เธอมัวแต่เหม่ออยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ที่เจ้าชายเข้ามาอุ้มเจ้าหญิงผู้บอบบาง
“ต้มยำกุ้งกับหมูสับอย่างละห่อค่ะ”
“กินหมดเหรอ”
“หมดค่ะ ว่าแต่ทำไมมาม่าในบ้านมันถึงวางอยู่ซะสูงแบบนี้ล่ะคะ” ดารันเอ่ยถามขึ้น ขณะที่สายตานั้นก็จ้องมองโฮมอยู่ตลอดเวลา
“พี่วางให้พ้นมือหนูเอิงเขาน่ะ ยิ่งหมอสั่งห้ามกินของพวกนี้ พี่สาวหนูเอยก็ยิ่งชอบ แอบซื้อมาเก็บบ่อยๆ ในเมื่อห้ามไม่ให้ซื้อเข้าบ้านไม่ได้ พี่ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเอาไปซ่อน” โฮมบอกเหตุผลของการเก็บมาม่าไว้บนสุดของตู้เก็บของ แต่เขาซ่อนเสียดิบดีขนาดนี้ ดารันยังหาจนพบ
“อ้อ...ค่ะ” ดารันเอ่ยรับเพราะรู้ว่าอาหารที่เธอกำลังอยากกินมันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายสักเท่าไหร่
“แล้วหนูเอยเจอมาม่าพวกนี้ได้ยังไง”
“ก็บนนั้นมันเป็นที่เก็บสมบัติของหนูมาก่อนนี่คะ” การเฉลยของดารันทำให้คนฟังยิ้ม หวนคิดถึงครั้งแรกที่เขาเปิดตู้ด้านบน เพราะในนั้นมีทั้งมาม่า ขนม ช็อกโกแลตและอื่นๆ เรียกว่ามันคือเซเว่นขนาดย่อมคงไม่ผิดนัก
“มิน่า…นี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ พี่โฮมกินอะไรมาหรือยัง” ทีแรกตั้งใจจะกินคนเดียว แต่พอมาคิดอีกที ลองถามโฮมดูก่อนก็คงไม่น่าเสียหายอะไร
“เหมือนจะยัง”
“เหมือนจะยังนี่กินมาแล้วหรือยังไม่กินคะ ฟังแล้วก็งง”
“ยังครับ งั้นพี่ฝากหนูเอยทำมาม่าหมูสับให้สักห่อด้วยเลยแล้วกัน”
“ได้ค่ะ” เจ้าบ้านเอ่ยรับ ก่อนจะมองโฮมที่เขย่งปลายเท้าหยิบมาม่าหมูสับมายื่นให้เธออีกห่อ ความสูงที่เขามีช่างน่าอิจฉา ผิดกับเธอที่พยายามกินนมเสริมแคลเซียมมาตั้งแต่เด็กๆ แต่กลับสูงแค่ร้อยหกสิบห้า น้ำหนักก็ไม่เคยแตะห้าสิบกิโลกรัมสักที ขนาดขุนตัวเองด้วยสารพัดอาหารคาวหวานแล้วนะ
ดารันหยุดคิดเรื่องความสูงและน้ำหนักไว้ชั่วคราว ก่อนจะกระโดดลงจากเคาน์เตอร์ครัวที่นั่งอยู่ จากนั้นก็ทำการต้มมาม่า อาหารกันหิวแสนง่าย แต่ตอนที่อยู่อังกฤษมันกลับเป็นอาหารที่เธอคิดถึงและอยากกินมากอย่างหนึ่ง โดยมีโฮมยืนมองอยู่ไม่ไกล
