ตอนที่ 1 อุบัติเหตุ
อุบัติเหตุ
บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถหลายนับร้อยคัน หลากหลายทุกยี่ห้อทุกชนิด บนจราจรที่ติดขัดหนาแน่นไปด้วยรถเล็กไปจนถึงรถใหญ่ในเมืองกรุงอันแสนจะวุ่นวาย ในยามเช้าของทุกๆวัน เพราะทุกเวลาล้วนมีค่า ต่างต้องพึ่งพาเงินตราในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน ของคนหาเช้ากินค่ำ
เอี๊ยด!
โครม!
เสียงล้อรถลากยาวบดเบียดกับถนน เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างมาตัดหน้ารถหรูของเขา ทำให้ชนเข้าอย่างจัง ถึงแม้ว่าเขาจะขับมาด้วยความเร็วไม่แรงเสียเท่าไหร่ เพราะชะลอความเร็วเผื่อไว้อยู่แล้ว ในที่ชุมชนแบบนี้ อุตส่าห์จะหลบหลีกจราจรที่ติดขัด แต่กลับต้องมาเจอกับอุปสรรคเข้า
“เฮ้ย! ขับออกมาได้ยังไงวะ ไม่ดูรถหรือยังไง” เสียงก้นด่าพ่นออกมาทันที เมื่อเท้าแตะเบรก
แต่สิ่งที่ปะทะกันอยู่ตรงหน้ารถหรู ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเสียหายอยู่มากพอสมควร เพราะแรงปะทะ ทำเอารถตัดหน้ามาล้มลงอยู่ตรงหน้ารถหรูของเขาพังแทบทั้งคัน เพราะสภาพที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักแล้ว
ร่างสูงเปิดประตูรถลงมาดูสภาพรถของตัวเองทันที เพราะถนุถนอมมาเป็นอย่างดี แต่เมื่อเห็นว่าคู่กรณีนั้น เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง กลับลืมเรื่องรถของตัวเองไปเสียสิ้น รีบเข้าไปช่วยยกรถออกเพราะทับร่างของเธอ แล้วช่วยประคองหญิงสาวนั้นขึ้นมา กลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ...” ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นมา ด้วยความรู้สึกเป็นกังวล พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเธอคือผู้หญิง
แต่กลับไม่ได้เห็นใบหน้าที่แน่ชัดของเธอ เพราะหญิงสาวสวมหน้ากากอนามัย แล้วสวมหมวกปิดบังใบหน้าทับมาอีกที
“ไม่เป็นไรค่ะพี่...ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวรีบเอ่ยขอบคุณทันทีที่ร่างสูงช่วยมาพยุงเธอขึ้น
แล้วมองดูสภาพรถทั้งสองคัน ทั้งของเธอและของเขาใบหน้าสลดลงมาทันที เพราะรถหรูราคาหลายร้อยล้าน กับของเธอแค่ราคาไม่กี่หมื่น แต่ก็สามารถพาเธอเลี้ยงชีพมาได้นานพอสมควร
“หนูขอโทษด้วยคะ พอดีหนูรีบเลยไม่ทันได้มองว่ามีรถพี่มา พอดีต้องรีบไปส่งของให้ลูกค้าค่ะ ส่วนค่าเสียหายหนูจะรีบทำงานมาจ่ายพี่นะคะ พี่จะเรียกเท่าไหร่ว่ามาได้เลยค่ะ” หญิงสาวรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยขึ้นมาทันทีอย่างรู้สึกผิด
“ช่างเถอะคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วรถน้องดูแล้วน่าจะซ่อมไม่ได้แล้ว...” ร่างสูงพูดขึ้น เพราะดูสภาพรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าของหญิงสาวแล้ว ไม่น่าจะไปต่อได้ แถมหัวเข่าของเธอที่เห็นรอยถลอกพร้อมกับเลือดที่ไหลซึมออกมาผ่านกางเกงยีนส์ทีเข้ม
“...” หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูงนิ่งเงียบทันที ไม่กล้าขยับตัวไปไหน
“ไปขึ้นรถสิพี่ขับไปส่งเอง...ส่วนมอ’ไซค์นี้เดี๋ยวให้คนมาขนไปร้านซ่อมให้ แล้วรถของพี่น้องได้ชดใช้อย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ร่างสูงเอ่ยบอก พร้อมกับจ้องมองหญิงสาวผ่านหน้ากากอนามัย แล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
“ไม่เป็นไรคะ โอ้ยย...” หญิงสาวรู้สึกใจหวั่นๆขึ้นมาทันที เมื่อเจอคำที่ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาขู่เธอ ครั้นจะขยับเท้าเดิน กลับต้องร้องโอดโอยออกมาทันที เพราะตึงแผลที่ถลอกบนหัวเข่า
“หึ เจ็บแบบนี้ยังจะทำเป็นเก่งอีก เดินไหวไหม เดี๋ยวพาไปหาหมอเช็คร่างกายด้วย เผื่อสมองได้รับการกระทบกระเทือน...” ร่างสูงเค้นหัวเราะออกมา แต่ก็เข้าไปช่วยประคองพาเธอเดินไปขึ้นรถของเขาอยู่ดี และสิ่งของมากมายที่หญิงสาวห้อยมากับรถ ช่วยถือขึ้นไปในรถด้วย
“นี่พี่...” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่ทันที ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถหรูของร่างสูง
“จะให้ไปส่งที่ไหน...” ร่างสูงถามขึ้นมาทันที เมื่อทั้งคู่ขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“หนูไม่รู้ว่าเขาเรียกสถานที่นี้ว่าอะไรค่ะ มีแต่แบบนี้ พี่ไปถูกอยู่ใช่ไหมค่ะ” หญิงสาวไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดี เลยยื่นโทรศัพท์มือถือ ที่หน้าจอแตกยับเยินให้กับร่างสูงดู
“ส่งของภาษาอะไรไม่รู้จักสถานที่...คงไม่ใช่คนที่นี่สิท่า” ร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างดูถูกดูแคลน และคาดเดาได้ทันที เลยว่าเธอไม่ใช่คนถิ่นนี้ เพราะสำเนียงภาษาที่ใช้ก้แปลกกับพวกเขาแล้ว
“ค่ะ...ข่อยคนบ้านนอก” หญิงสาวตอบออกมา เป็นภาษาบ้านเกิดทันที
“พูดภาษาที่พี่ฟังออกด้วย อยู่ในรถก็ช่วยถอดหมวกถอดหน้ากากออกด้วย ปิดอย่างกับว่าโจรจะไปปล้นร้านทอง” ร่างสูงเอ่ยบอก พร้อมกับเอื้อมมือจะไปหยิบสายเข็มขัดมารัดหญิงสาว
“จะ จะทำอะไร” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักทันที เมื่อร่างสูงเข้ามาใกล้เธอ เพราะเกิดจนถึงตอนนี้ ไม่เคยเข้าใกล้กับชายอื่นใด้เลย แม้กระทั่งพ่อก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร
“คาดเข็มขัดยังไงล่ะ ไม่รู้จักเหรอ...” ร่างสูงเอ่ยตอบเสียงเรียบนิ่ง แล้วดึงสายเข็มขัดมาตรงหน้าเธอล็อคทันที
พร้อมกับยกมือขึ้นจับหมวกของเธอออกจากศีรษะของเธอทันที ทำเอาผมที่รวบไว้ใต้หมวกแบบลวก ๆ สยายแผ่กระจายลงมาทันที มือหนาดึงหน้ากากอนามัยออกจากหน้าเธอ ทำให้ตอนนี้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเธอได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าทรงรูปไข่ รับกับแก้มป๋อง ๆ ทั้งสองข้าง ดวงตากลมโตเพียงเล็กน้อย ดูแล้วช่างน่ารักเสียเหลือเกิน ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางแต่งเติมใดๆ แต่กลับขาวใส่สะอาดไร้ที่ติเสียเหลือเกิน ใบหน้าที่เขินอายนี้ช่างต่างกับวาจาที่พ่นออกมาจากปากของคนเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง
“อะแฮ่ม...ว่าแต่เราชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหนเหรอ พี่จะได้ตามไปเก็บค่าเสียหายถูก...” ร่างสูงเมื่อดึงสติได้ รีบดีดตัวออกห่าง แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“พี่...”
“แค่แซวเล่นเอง ทำไมต้องดุด้วย” ร่างสูงออกรถทันที ไปตาจุดหมายของหญิงสาวต่อทันที
“...เอิงเอยค่ะ เรียกเอยเฉยๆก็ได้” หญิงสาวเอ่ยตอบออกมาตามตรง
ปรียาภัทร หรือ เอิงเอย หญิงสาววัย 20 ปี สาวน้อยต่างหวัดที่ดั้นด้นมาอาศัยอยู่ในเมืองกรุงตั้งแต่ที่จบชั้นมัธยมปลาย เพราะต้องการหารายได้มาเป็นค่ารักษาพยาบาลแม้ที่ป่วยด้วยโรคร้าย สาวน้อยบ้านนาที่สู้ชีวิตแต่ชีวิตดันสู้กลับ ส่งตัวเองเรียนจนใกล้จะประสบผลสำเสร็จในอีกหนึ่งปีการศึกษานี้แล้ว
“เอิงเอยชื่อเชยชะมัด...พี่ชื่อเพชรน่ะ”
เพชร พงศกร หนุ่มโสดวัย 30 ปี เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลดัง(เรืองพาณิชยากุล) ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ที่มีชื่อเสียงในระดับต้นๆของประเทศ ชายหนุ่มที่รักชีวิตอิสระสันโดษ บ้างานจนไม่เคยคิดที่จะเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิต
“เพชรนี้บ่เชยเลยเนาะ...” หญิงสาวแบะปากล้อเลียนร่างสูงขึ้นมาทันที
“บ่นอะไร...”
“เปล่าค่ะ...” หญิงสาวนั่งลงอย่างเงียบ ๆ ทันที
“อย่าให้รู้น่ะ...ว่านินทาพี่ ใช้รถใช้ถนนในเมืองกรุง หูตาต้องไว แล้วนี้ไม่ได้เรียนเหรอ...” ร่างสูงพร่ำสอนหญิงสาวออกไปหนึ่งประโยค ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะอายุของเธอน่าจะอยู่ในช่วงวัยเรียน แต่ทำไมถึงต้องมาทำงานรับหิ้วของพะรุงพะรังไปหมด ทั้ง ๆ ที่ค่าจ้างต่อชิ้นเพียงไม่กี่บาทเอง
“ขอโทษค่ะ...หนูเรียนแค่เสาร์อาทิตย์” หญิงสาวเอ่ยตอบไปตามตรงเมื่อร่างสูงถาม
พงศกรขับรถมาถึงยังจุดหมายในเวลาไม่นาน และก็ทยอยส่งของให้กับลูกค้าของหญิงสาวอทนเธอ เพราะตอนนี้เธอเจ็บอยู่ จวบจนครบทุกคน แล้วจึงขับรถวนกลับคืนทันที แล้วมุ่งหน้าไปยังรงพยาบาลต่อ