บทย่อ
แม่หม้ายป้ายแดงออกเที่ยวเพราะความเซ้็งที่สามีของตนไปเป็นภรรยาคนอื่น เธอได้เจอกับปิญชาน์ ความสัมพันธ์เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด เธออยากหนีอยากจบ แต่สำหรับเขามันตรงกันข้าม
1 ว่าที่เจ้าสาว
“เฮ้อ!”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลังจากที่ประตูห้องตรวจปิดลงในเวลา 20.15 น. แพทย์หญิงไอรดาทิ้งร่างพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เธอตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็นับเวลารวม 12 ชั่วโมง นี่ยังไม่รวมเวรกลางคืนที่เธอคอยรับคนไข้เด็กจากห้องคลอดอีกสองคืน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้คุณหมอสาวนั่งตัวตรงอีกครั้งเพราะคิดว่าจะมีคนไข้มาตรวจกับเธอถึงแม้จะเลยเวลาตรวจไปแล้วแต่ถ้ายังมีคนไข้ ไอรดาก็มักจะตรวจจนกว่าจะหมด เพราะรู้ว่าถ้าตนเองไม่ตรวจ คนไข้เหล่านั้นก็จะต้องไปตรวจต่อกับคุณหมอที่ห้องฉุกเฉินซึ่งบางครั้งก็ไม่มีหมอเฉพาะทางเด็ก
“หมดแรงเลยเหรอคะหมออัยย์” นีรนุชพยาบาลประจำแผนกเด็กถามขึ้น
“ค่ะ พี่นุช อัยย์ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่ต้องกลับช้าอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ได้รับไปไหนว่าแต่หมออัยย์เถอะค่ะ อีกสองวันก็จะแต่งงานแล้วยังจะรับขึ้นเวรอีกนะคะ”
“ก็หลังแต่งอัยย์ขอลางานต่ออีกหนึ่งอาทิตย์นี่คะ เลยต้องแลกเวรกับหมอปิ่น”
“จะไปฮันนีมูนที่ไหนล่ะคะ”
“ยังไม่รู้เลยค่ะพี่นุช แฟนอัยย์ไม่ยอมบอกอะไรเลย”
“น่ารักจังนะคะ สงสัยคุณติคงอยากให้หมออัยย์เซอร์ไพรส์” นีรนุชเคยเจอว่าที่สามีคุณหมอไอรดาอยู่หลายครั้ง เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี สุภาพและดูอบอุ่นเหมาะกับคุณหมอไอรดาราวกับกิ่งทองใบหยก
“นั่นสิคะ พี่ติน่ะเก็บความลับเก่งมาก อัยย์เลยไม่รู้จะเตรียมเสื้อผ้าแบบไหนไปเที่ยวเลยล่ะคะ”
“พี่ว่าคงไม่พ้นแถวยุโรปแน่ ที่นั่นกำลังอากาศหนาวเหมาะกับคู่รักค่ะ”
“พี่นุชพูดแบบนี้สงสัยว่าอัยย์คงต้องไปหาชุดเพิ่มแล้วล่ะคะ”
“อย่าห่วงแต่ชุดไปเที่ยวนะคะ อีกสองวันก็จะถึงวันงานแล้วพี่ว่าหมออัยย์ควรจะนอนพักให้มากๆ นะคะ พี่บอกก่อนเลยว่าถึงเราเป็นเจ้าสาวยืนยิ้มอย่างเดียวก็จริงแต่มันเหนื่อยมากๆค่ะ” นีรนุชพูดตามประสบการณ์ของตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่นุช อัยย์อึดอยู่แล้วถ้างั้นคงไม่ขึ้นเวรควบได้หรอกค่ะ”
“จริงสิ หมออัยย์ของพวกเราน่ะทั้งสวยและอึด แล้ววันนี้ว่าที่เจ้าบ่าวจะมารับไหมคะ”
“ไม่ค่ะ คุณยายบอกไม่ให้เจอกันก่อนวันแต่งงานสามวันค่ะ วันนี้อัยย์จะไปเม้าท์กับหมอริตาค่ะ” ไอรดาหมายถึงสริตาที่เป็นวิสัญญีแพทย์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับเอมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมและลากยาวมาจนถึงตอนนี้
“ถึงว่าพี่เห็นหมอริตามาเดินด้อมๆ มองๆ คงจะมาตามหมออัยย์นั่นเอง งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ เจอกันที่งานแต่งวันมะรืนค่ะ”
“ที่แผนกไม่มีใครไปงานตอนเช้าไหมคะ”
“ไม่จ้ะ ตอนเช้าอยากให้เป็นงานของครอบครัว พวกเราเลยว่าจะยกกันไปทั้งแผนกตอนเย็นทีเดียวค่ะ”
“ได้ค่ะ ไปตามที่อัยย์ปักหมุดไว้รับรองไม่หลงค่ะ”
พอนีรนุชออกจากห้องไปแล้วไอรดาก็เก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า พอเดินออกมาจากห้องตรวจ ไฟบริเวณแผนกกุมารเวชก็ปิดเกือบหมดจะเหลือก็แค่ไฟตรงทางเดินเท่านั้น
“ริตา ขอโทษนะ รอนานไหม” ไอรดาเดินมาคล้องแขนหมอสริตาอย่างประจบ
“รอจนจะหลับแล้ว คนไข้เยอะเหรออัยย์” หมอสามมารอเพื่อนตั้งแต่สองทีมจนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสองทุ่มครึ่ง
“อือ กว่าจะตรวจคนสุดท้ายเสร็จแผนกอื่นเข้าก็กลับบ้านกันหมดแล้ว”
“ริตาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม่อัยย์จะต้องทุ่มเทกับงานมากขนาดนี้ ดูสิจะแต่งงานอยู่อีกสองวันแล้วยังจะห่วงทำงานอีก” คุณหมอสาวมองหน้าเพื่อนรักอย่างเอือมระอา เพราะไอรดาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน หญิงสาวจะทุ่มเทกับทุกๆ เรื่อง จนบางครั้งเธอก็มองว่ามันมากเกินไป
“เอาน่าอย่าบ่นไปหน่อยเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าอัยย์อยากกินชาบู”
“จะมาอยากกินอะไรกันตอนนี้ ริตาว่าอัยย์ควรกินอะไรที่มันเบาๆ เดี๋ยวชุดแต่งงานใส่ไม่ได้จะหาว่าริตาไม่เตือนนะ”
“ใส่ไม่ได้ก็ขยายไซซ์เอาสิ ง่ายจะตาย”
“เบื่อที่จะพูดกับคนเห็นแก่กินแล้ว ริตาว่าคืนนี้อัยย์กินได้แค่สลัดกับผลไม้เท่านั้นแหละ”
“แค่นั้นมันจะอิ่มที่ไหนล่ะ ขอแซนด์วิชอีกชิ้นได้ไหม”
ว่าที่เจ้าสาวโอดครวญเพราะสองวันมานี้เธอใช้พลังงานไปมากกว่าปกติ ทั้งออกตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก ราวน์คนไข้ที่แผนกผู้ป่วยในและยังต้องเข้าเวรคอยรับเด็กจากห้องคลอด และเมื่อคืนเหมือนจะเป็นฤกษ์ดีเพราะเธอรับเด็กจากการผ่าคลอดไปถึง 4 คนซึ่งเด็กๆ พวกนั้นก็อาจจะกลายมาเป็นคนไข้ของเธอ ทั้งในเวลารับวัคซีนและเวลาเจ็บป่วย เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็อยากให้ลูกของตนเองได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากคุณหมอที่ดูแลในวันแรกที่พวกเขาลืมตาขึ้นมา
“ให้ครึ่งชิ้นจ้ะ” สริตาไม่ยอมใจอ่อนเพราะกลัวว่าเพื่อนจะพุงป่องเวลาใส่ชุดเจ้าสาว แล้วคนจะเอาไปนินทาว่าเจ้าสาวป่องก่อนแต่ง
“โอยยย ริตาใจร้าย”
“ไม่ต้องมาบ่นเลย รีบกลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้ริตามีเคสแต่เช้า”
“อ้าว ไหนว่าจะไปขัดตัวกัน”
“มีเคสผ่าคลอดน่ะ ถ้าเสร็จเร็วจะตามไปที่ร้าน ว่าแต่เพื่อนคนอื่นได้รับชุดกันครบแล้วใช่ไหม”
“ทางร้านส่งให้ครบแล้ว อัยย์เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องจัดงานให้มันวุ่นวายด้วย”
“คำถามนี้ริตาว่าอัยย์เก็บไปถามคุณยายนวลแขดีกว่าไหม”
“ถ้าถามได้อัยย์ถามไปแล้วสิ ริตาก็รู้ว่าอัยย์ไม่กล้าขัดใจคุณยาย” เพราะคุณยายนวลแขเป็นคนเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากบิดามารดาของเธอนั้นประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังแบเบาะ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณยายนวลแขจะพูดหรือจะบอกให้เธอทำอะไร ไอรดาก็ยอมทำตามทุกอย่าง รวมถึงการแต่งงานครั้งนี้ด้วย
ไอรดากับอติรุจน์รู้จักกันมานานเพราะทั้งสองครอบครัวนั้นสนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด แต่เธอกับชายหนุ่มไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่ เนื่องจากไอรดานั้นเรียนหนักมากในขณะที่เขาก็เอาแต่ทำงาน แต่หลังจากเรียนจบแพทย์ครอบครัวทั้งสองก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องแต่งงาน
หญิงสาวไม่ได้คัดค้าดแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เธอบอกกับคุณยายนวลแขว่าเธอยังต้องใช้ทุนอีกถึงสามปีแล้วจากนั้นก็จะขอเรียนต่อเฉพาะทาง ถ้าเรียนจบแล้วอติรุจน์ยังไม่มีใครเธอก็จะยอมตกลงแต่งงานด้วย
แต่ไอรดาก็พลาดอย่างหนักเมื่อคุณยายช่วยร่นเวลาให้ด้วยจ่ายเงินคืนให้กับรัฐบาลและยังเป็นคนออกเงินค่าเรียนเฉพาะทางให้เธออีกด้วย
ระหว่างที่หญิงสาวไปต่อเฉพาะทางที่อเมริกา อติรุจน์ก็มักจะแวะไปหาเธอที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเริ่มดีขึ้น เธอพูดคุยปรึกษากับชายหนุ่มได้ทุกเรื่อง เขาเป็นผู้รับฟังที่ดีมาตลอด
และพอเธอเรียนจบกลับมาทำงานได้สามเดือนการแต่งงานจึงถูกกำหนดขึ้นด้วยความเต็มใจของทั้งสองคน
ระยะเวลา 3 ปีที่ได้รู้จักกับอติรุจน์ชายหนุ่มไม่เคยทำให้เธอลำบากใจเลย แม้ว่าเธอจะขึ้นเวรจนไม่มีเวลาให้เขา แต่อติรุจน์ก็ไม่เคยว่า หนำซ้ำเขายังคอยสนับสนุนและเป็นกันชนที่ดีระหว่างเธอกับคุณยายซึ่งบางครั้งก็ทะเลาะกัน เรื่องที่หญิงสาวเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาพัก เขาเป็นเหมือนกับกับหลุมหลบภัยของเธอ เพราะทุกครั้งที่มีปัญหาชายหนุ่มจะอยู่เคียงข้างและจับมือเธอไว้อยู่ตลอด เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เจอผู้ชายที่แสนดีอย่างอติรุจน์