ตอนที่ 5 จัดการตัวต้นเหตุของข่าวลือ
“ท่านแม่ทัพอภัยให้ข้าด้วย ข้าเพียงหญิงชาวบ้าน พูดไปตามที่ได้ยินมาเพียงเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นฮูหยินจินจงบอกข้ามาสิ ว่าผู้ใดมันเป็นผู้พูด ข้าจะได้จับมาลงโทษได้ถูก หากท่านชี้ตัวไม่ได้ นั่นเท่ากับว่าท่านลบหลู่เบื้องสูง หาว่าฝ่าบาทประทานยศให้นางโดยไม่เหมาะสมเช่นนั้นหรือ!!”
"ข้าน้อยมิกล้าเจ้าค่ะ มิกล้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยปากพล่อยเอง ขอตบปากตัวเองเป็นการลงโทษเจ้าค่ะ"
“ท่านแม่ อย่านะเจ้าคะ”
“เจ้าปล่อยข้า ข้าทำผิด ข้าต้องรับโทษ”
มู่หลงฟู่มิคิดห้ามนางแม้แต่น้อย เขาสืบจนรู้มาก่อนแล้วว่าฮูหยินรองจินเป็นผู้ปล่อยข่าวลือว่าคุณหนูสามจวนจินถูกกบฏย่ำยีในค่าย และยังปล่อยข่าวลือว่านางไม่บริสุทธิ์แล้ว แค่ตบปากตัวเองเพียงเท่านี้ ยังน้อยไปสำหรับความปากพล่อยของนางที่กล้าใส่ร้ายจินซู่เย่
“ท่านแม่ หยุดเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเจ้าคะ หากท่านแม่ยังตบต่อไป ท่านต้องแย่แน่ ๆ เลยเจ้าค่ะ ได้โปรดสั่งให้หยุดด้วยเจ้าค่ะ ข้าขอร้องท่าน”
“คุณหนูสี่ ข้ายังมิได้บอกให้ฮูหยินรองจินทำสิ่งใดเลย เหตุใดข้าต้องเป็นผู้ที่บอกให้นางหยุดเล่า และอีกอย่าง จะว่าไปหากโทษลบหลู่เบื้องสูงต้องถูกโบยห้าสิบครั้ง เทียบกับให้นางตบปากตัวเองอยู่หน้าจวน เจ้าว่าพวกเจ้าควรเลือกสิ่งใดล่ะ หากเจ้ากลัวว่ามารดาเจ้าจะไม่ไหวเหตุใดไม่ช่วยนางตบปากตัวเองไปด้วยเล่าคุณหนูสี่”
สายตาเหี้ยมเกรียมที่ส่งมาให้นางนั้น ทำเอานางขนลุกถึงกลางหลังก่อนที่จะถอยออกมาและตบปากตัวเองแทนมารดา
“ข้าทำเองเจ้าค่ะ โปรดไว้ชีวิตแม่ข้าด้วย”
“ถงหนิง อย่านะ เจ้าเป็นสาวเป็นแส้ อย่าให้หน้าเจ้าเป็นรอย แม่เอง”
สองแม่ลูกที่ตบหน้าตัวเองอยู่หน้าจวน เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแบบเดียวกันคือรู้สึกสมน้ำหน้า เพราะพวกนางสองคน มักจะดูถูกชาวบ้านที่ยากจน หากไม่ใช่ฮูหยินของจินหลุน
พวกชาวบ้านคงเกลียดชังนางยิ่งนัก อีกทั้งลูกสาวของนางก็ดันมีนิสัยไม่ต่างกับมารดา ปากที่ช่างดูถูกผู้อื่นไปทั่วเพราะตัวเองเป็นบุตรสาวของคหบดีผู้มั่งมี ทำให้ผู้คนไม่ชอบหน้าพวกนางสองแม่ลูกสักเท่าใดนัก
จินซู่เย่คิดว่าพวกนางรับโทษพอแล้ว นางจึงเดินเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าแม่ทัพหนุ่มอย่างนอบน้อม ทำเอาเขาตกใจกับการกระทำนี้ เขาก้มลงไปหานาง
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่รองกับน้องสี่สำนึกแล้ว ท่านแม่ทัพ ได้โปรด….”
“เจ้าไม่โกรธพวกนางแล้วหรือ”
“……..”
“จินซู่เย่ ข้าถามว่า เจ้าจะยอมให้ข้ายกโทษพวกนางจริงๆ หรือ”
นางเงยหน้ามามองเขา
“ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ”
เขาลุกขึ้นพร้อมกับดึงตัวนางลุกขึ้นมาด้วย
“พวกเจ้าหยุดได้แล้ว และจงจำเอาไว้ด้วยว่า คราวหลัง อย่าเที่ยวพูดให้ร้ายผู้ใดอีก”
“ข้ารู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา”
“ขอบคุณ…ท่านแม่ทัพที่เมตตาเจ้าค่ะ”
“พาพวกนางไปทำแผลไป ท่านแม่ทัพ ถ้ายังไง ขอให้ข้ามีโอกาส จัดงานเลี้ยงให้ท่านอย่างสมเกียรติ พร้อมกับพวกทหารของท่านด้วยได้หรือไม่ขอรับ”
“ข้าไม่อาจปฏิเสธไมตรีของท่านคหบดีได้ ตกลง อีกสามวันข้าจะมาตามคำเชิญ ส่วนวันนี้ข้าเพียงนำยอดสตรีกล้าแห่งหย่งตูมาส่งให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องลำบากส่งคนไปตามหานางให้เหนื่อยอีกข้าขอตัวกลับก่อน”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณขอรับ”
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ ข้าจินซู่เย่ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ให้การช่วยเหลือและช่วยพาข้ามาส่งเจ้าค่ะ หากวันหน้ามีกิจที่ให้ข้าช่วยเหลือ ข้าจินซู่เย่ยินดีช่วยท่านทุกอย่างโดยไร้เงื่อนไขเจ้าค่ะ”
เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ นางก่อนที่จะพูดเพื่อให้นางได้ยินเพียงผู้เดียว
“เจ้าจดจำคำของเจ้าให้ดี ๆ ด้วยล่ะ คุณหนูจิน”
ก่อนเขาจะส่งยิ้มที่อ่อนโยนกลับมาให้นาง และบอกลาบิดาและเดินจากไป รอยยิ้มนั่นทำเอาใจของหญิงสาวสั่นรัวไม่เป็นจังหวะ หูนางอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใดอีก นางเห็นเพียงแม่ทัพหนุ่มที่กลับขึ้นบนหลังม้า ที่มองหน้านางอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะขี่ม้ากลับออกจากจวนนางไป…..
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านกลับมาแล้ว ข้าคิดถึงท่านมากเลย วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะเจ้าคะ”
“ชิงชิง ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย”
“คุณหนู ท่านอย่าทิ้งข้าไปแบบนี้อีกนะเจ้าคะ ข้าใจคอไม่ดีเลย”
“ชิงชิงกินไม่ได้นอนไม่หลับ รอเจ้ากลับบ้าน น้องสาม ไปเถอะ เข้าจวนกัน ไปเล่าให้พวกเราฟังหน่อยว่าเจ้าไปที่ใดมา แล้วพบกับแม่ทัพมู่ได้เช่นไร”
“พี่รอง ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่”
“ข้าสบายดี ไปกันเถอะ”
“อี้เจินเจ้ากับชิงชิง พาซู่เย่ไปพักผ่อนก่อนเถอะนะ เอาไว้เย็นนี้ค่อยมาคุยกัน พ่อก็อยากฟังเหมือนกันว่าเจ้าไปเจอแม่ทัพมู่ได้เช่นไร”
จินซู่เย่พักอยู่ที่จวนของแม่ทัพมู่จนบาดแผลภายนอกนางหายดีเกือบหมด จึงไม่เป็นที่สงสัยว่านางถูกกบฏพาตัวไป และแม่ทัพมู่ยังออกหน้าให้นางบอกว่านางปลอมตัวเป็นหมอเข้าไปเพื่อสืบข่าวเพื่อช่วยเขา จากร้ายกลายเป็นว่านางช่วยเหลือทางการ ทำให้นางได้รับการยกย่องมากมาย นางจึงต้องเล่าตามเรื่องที่เขาเล่าให้บิดาของนางฟัง…..
งานเลี้ยงจวนสกุลจิน
“เจ้าจำเอาไว้ให้ดี ต้องมั่นใจว่าแม่ทัพมู่ดื่มสุรานี่ แล้วก็พาเขาไปที่ห้องข้า เข้าใจหรือไม่”
“คุณหนู บ่าว…”
“เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าแค่มีหน้าที่รินเหล้าให้เขา เจ้าไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ตกลงไหม”
“เจ้าค่ะ”
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดอยู่ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วนะลูก”
“ไปได้แล้ว”
จินถงหนิงไล่สาวใช้ออกไป ก่อนที่นางจะหันกลับไปหามารดา
“อยู่นี่เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกพร้อมแล้ว เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
ฮูหยินรองมองดูบุตรสาวด้วยความชื่นชม แต่ไหนแต่ไรมา นางมักจะหลงความงามของบุตรสาวตนเองเสมอ และมักจะสรรหาชุด เสื้อผ้าและเครื่องประทินโฉมดี ๆ ให้บุตรสาวนางได้ใช้ แน่นอนว่านางต้องการให้จินถงหนิงงามเป็นที่หนึ่งในหย่งตู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า จินซู่เย่ และจินอี้เจิน ก็เป็นสาวงามดั่งบุปผาในสวนเซียนเช่นกัน
“ลูกแม่ คืนนี้เจ้าจะต้องงดงามเหนือผู้ใดในงานแน่นอน”
“จริงหรือเจ้าคะ แต่ยังมีพี่รองกับพี่สาม พวกนางล้วนโตกว่าข้า และยัง…”
“เจ้ากลัวอะไรกัน ชื่อเสียงของซู่เย่น่ะ ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะรับรองแล้วเช่นไรล่ะ ตราบใดที่ข่าวลือว่าพบเห็นนางในกองทัพกบฏ นางก็ไม่มีวันพ้นข้อครหานี้ ที่สำคัญ สกุลฉิน เริ่มไม่พอใจเรื่องนี้แล้วด้วย อาจจะถึงขั้นถอนหมั้นนางเลยก็ได้”
“แต่ว่าท่านแม่ ลูกมิได้ต้องการพี่เว่ยหยางแล้วเจ้าค่ะ ลูกกลับพบว่า ท่านแม่ทัพน่าสนใจกว่าเขามากนัก”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ นี่เจ้า ชอบพอแม่ทัพมู่นั่นหรือ”
“เจ้าค่ะ ลูกชอบเขาเจ้าค่ะ ชอบมากกว่าพี่เว่ยหยางอีก ลูกใจเต้นเวลาที่เห็นเขา ลูกไม่เคยเป็นแบบนี้กับพี่เว่ยหยางเลยเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า เรื่องนี้...”
นางย่อมเป็นห่วง เพราะเมื่อวันก่อนที่เขามาส่งจินซู่เย่ เขายังบังคับให้นางตบปากตัวเองอยู่หน้าจวนอยู่เลย มาวันนี้บุตรสาวบอกว่าชอบพอแม่ทัพผู้นั้น ทำเอานางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ท่านแม่ เราค่อยๆ ดูกันไปเถิดเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าท่านแม่ทัพอาจจะชอบพอข้าเช่นกันก็ได้”
"เอาล่ะๆ ไปกันเถอะ จวนจะได้เวลาแล้ว พ่อเจ้ารออยู่ด้านนอกแล้ว