บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 โชคร้าย

ภายในห้องโถงเงียบสงัด นอกจากเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของเมิ่งจงก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก กระทั่งฮูหยินใหญ่ยังย้ายไปนั่งที่ตั่งไม้ใกล้หน้าต่าง นางเอนหลังโบกพัดทอดสายตามองไปไกล คล้ายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับนางสักนิด และหญิงสาวที่หายไปก็มิใช่บุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของนางด้วย

เมิ่งลี่อินไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ร่วมเป็นสักขีพยานการกระทำในครั้งนี้ของพี่สาว แต่ตอนที่แม่ใหญ่วิ่งเข้ามาในโถงนางกับท่านแม่ก็นั่งคุกเข่าอยู่ก่อนแล้ว เมิ่งลี่อินปีนี้อีกสองเดือนก็จะสิบหกปีเต็ม นางผ่านพิธีปักปิ่นมาเกือบปีแต่ยังไร้วี่แววคู่หมั้น สืออี๋เหนียงมิได้ร้อนใจในเรื่องนี้แต่นางกลัวว่าหากปล่อยให้เมิ่งลี่อินอายุมากกว่านี้สักหน่อย สุ่ยซื่ออาจจะออกอุบายให้บุตรอนุแต่งกับพ่อค้าแก่ ๆ สักคนแลกกับเงินทองก็เป็นได้

บุตรอนุเมื่อแต่งออกก็เป็นได้เพียงอนุภรรยา สืออี๋เหนียงทำใจกับสภาพชีวิตของนางแล้วแต่ไม่อาจทำใจในเรื่องของบุตรสาวได้ นางจึงลงมือทำครัวตั้งแต่เที่ยงวัน รอจนเมิ่งจงสะสางงานเสร็จถึงได้หิ้วตะกร้าพาบุตรสาวมาด้วย หวังให้เขาช่วยมองหาบุรุษดี ๆ สักคนให้เมิ่งลี่อิน

แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค สุ่ยซื่อก็วิ่งเข้ามาโวยวายเสียงดังกล่าวว่าคุณหนูใหญ่เมิ่งลี่จูหายไปจากเรือน

หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องวุ่นวายชวนปวดหัวตามมาไม่หยุดหย่อน ประเดี๋ยวนายท่านบันดาลโทสะ ประเดี๋ยวฮูหยินกอดอกไม่พอใจ ภายใต้พายุโหมกระหน่ำเช่นนี้จะยังมีสายตาที่ไหนไว้สำหรับนางสองแม่ลูกอีก เพียงแต่สาวใช้พวกนั้นมีพ่อบ้านจี้คุ้มหัว ทว่าพวกนางไม่มีใครเลย จะหนีออกไปก่อนก็มิได้ จะอยู่ต่อไปก็ลำบากใจ สุดท้ายก็ได้แต่นั่งคุกเข่าปิดปากรอคำของนายท่านเท่านั้น

อีกไม่นานฟ้าก็จะสางแล้ว เมิ่งจงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าเขาเขียวคล้ำไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด ในใจคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ทั้งคำพูดกล่าวขออภัย ทั้งโฉนดร้านและเครื่องเรือนหายากที่เขาสะสมไว้ ของพวกนั้นหากถึงคราวก็ต้องมอบออกไปเป็นการไถ่โทษ มอบออกไปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสกุลกู้จะคลายโทสะหรือไม่ เสียเงินแต่ไม่ได้กำไร สำหรับพ่อค้าเช่นเมิ่งจงแล้วสิ่งนี้ช่างเจ็บปวดเสียจริง

ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน สุดท้ายนายท่านเมิ่งก็ทนไม่ไหว ด่าออกไปอีกคำ “เจ้าสั่งสอนกันอย่างไรให้บุตรสาวหนีไปในคืนแต่งงาน แล้วทีนี้จะทำอย่างไร ประเดี๋ยวสกุลกู้มาแล้วไม่เจอเจ้าสาวเจอแต่หน้าแก่ ๆ ของข้ากับเจ้าแล้วจะทำอย่างไร!”

สุ่ยซื่อถูกสามีด่ามาทั้งคืนก็สุดจะทนแล้ว นางอ้าปากเถียงเสียงดังลั่ง ดวงตาเบิกโพลง “ข้าสอนอย่างไร? อ้อ ท่านจะหาว่าข้ามันไม่ดีสั่งสอนลูกไม่ได้เรื่องใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ส่งลี่อินไปแต่งงานเสียสิ วัน ๆ นางขลุกอยู่แต่ในสวน ทำงานบ้านงานเรือนไม่ต่างจากสาวใช้ เรื่องครัวก็เก่งกาจไม่มีใครเกิน เช่นนี้คงจะถูกใจท่านกระมัง!”

“กู้ชางสู่ขอลี่จูแต่สกุลเมิ่งส่งลี่อินไป? มิต้องกล่าวว่าลี่อินเป็นเพียงบุตรอนุ แค่เรื่องสับเปลี่ยนเจ้าสาววันแต่งงานก็พอทำให้ข้าไม่มีหน้าไปเจอผู้คนแล้ว!”

สุ่ยซื่อก็ไม่ยอมเช่นกัน “ท่านจะเอาอย่างไร! ตั้งใจจะบีบคั้นคนให้ตายหรือ! เช่นนั้นก็ไม่ได้เช่นนี้ก็ไม่ได้ ให้ส่งลี่อินไปก็ไม่เอา ท่านจะกลัวอันใดนักหนา ก็แค่ถูกด่าสองสามปีกับถูกสกุลกู้หมางเมินเท่านั้น สกุลสุ่ยของข้ายิ่งใหญ่น้อยกว่าสกุลกู้รึ การค้าของเราด้อยกว่าสกุลกู้งั้นรึ? เมิ่งจง ท่านไม่กล้า แต่ข้ากล้า!”

“สุ่ยฮุ่ยหลิง!”

กล่าวจบสุ่ยซื่อก็เดินมาหยุดตรงหน้าสืออี๋เหนียง ใบหน้าฮูหยินใหญ่ผัดแป้งไว้สามชั้น ทว่าแป้งหนา ๆ นั่นยังไม่อาจปิดบังความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกทางหางตา ริมฝีปากเคลือบชาดชั้นดีค่อย ๆ ขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนจาง สุ่ยซื่อไม่กดคางไม่หลุบสายตา ทำราวกับว่าคนสองคนแทบเท้ามิใช่สิ่งที่นางต้องก้มมอง

“ลี่อิน ไปที่เรือนลี่จู ข้าจะส่งคนไปแต่งตัวเจ้าให้ทันก่อนสกุลกู้มารับตัวเจ้าสาว”

เมิ่งลี่อินตกใจจนพูดไม่ออก นางหันมองหน้าท่านแม่สลับกับมองท่านพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล เมิ่งจงแม้จะเม้มริมฝีปากมีท่าทางไม่ยินยอม แต่เมิ่งลี่อินรู้ดี รู้ดีเป็นที่สุด นั่นเป็นท่าทางยามที่ท่านพ่อลังเลใจ

เขาลังเลใจระหว่างนางที่เป็นบุตรสาวกับทรัพย์สมบัติพวกนั้น!

ความคิดนี้ทำเอาหญิงสาวเย็นเยือกไปทั้งอก แม้แต่ขาที่ชาก็ยังไม่ไร้ความรู้สึกเท่าใบหน้า เมิ่งลี่อินก้มหน้าลงต่ำ มือที่ประสานไว้บนตักบีบเข้าหากันแน่น

“ท่านแม่ใหญ่ คำสั่งท่านใช่ว่าลี่อินไม่อยากทำตาม เพียงแต่คุณชายกู้สู่ขอพี่สาวด้วยใจจริง ข้าเป็นเพียงคนนอก มิกล้าสวมรอยพี่สาวแต่งกับสกุลกู้จริง ๆ เจ้าค่ะ”

สุ่ยซื่อขมวดคิ้ว คราวนี้นางมีโทสะขึ้นมาแล้ว “สืออี๋เหนียง เจ้าสั่งสอนบุตรสาวให้กระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งข้า?”

สืออี๋เหนียงหลุบสายตาปิดบังความสิ้นหวังของตนเอง เรื่องของลี่อินยังไม่ทันที่นางจะได้บอกกล่าวนายท่านก็ต้องจบลงเช่นนี้จริง ๆ หรือ?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel