

น่าเห็นใจ
บทที่ 5 น่าเห็นใจ
ราตรีมาเยือนเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจิวหลินทำได้เพียงกังวลใจเป็นห่วงท่านป้าเพราะไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง จนซือเล่อต้องมาปลอบประโลม
"พระชายาเพคะตอนนี้ถึงเวลามื้อค่ำแล้วอีกสักประเดี๋ยวก็คงมีนางกำนัลนำสำรับมาให้เพคะ"
"ข้าจะมีอารมณ์กินได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปเช่นนี้ เจ้าก็หยุดพูดจากับข้าเช่นนี้เถิดนะ"
"ไม่ได้หรอกเพคะ หากผู้อื่นมาได้ยินหม่อมฉันเกรงว่าหัวไม่อยู่บนบ่าอีกต่อไปเพคะ" ซือเล่อยืนอยู่ข้าง ๆ ได้บอกแก่จิวหลิน
"แล้วเมื่อไหร่ท่านพ่อจะหาตัวท่านพี่พบนะ โชคดีหน่อยที่องค์ชายห้าไม่สนใจที่จะร่วมหอไม่เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงต้องทำหน้าที่แทนท่านพี่ จริงสิข้าจะมั่วแต่มานั่งวิตกกังวลไม่ได้ข้าจะต้องเอาตัวรอดให้ได้จนกว่าจะหาท่านพี่พบ เจ้ารู้ประวัติองค์ชายห้าหรือไม่ช่วยเล่าให้ข้าฟังที" ซือเล่อทำหน้าหวาดกลัวเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องราวขององค์ชายห้าให้แก่จิวหลินฟัง
องค์ชายห้านามว่าเสี่ยวหลงเป็นโอรสของฝ่าบาทที่มีกับนางสนมคนโปรดไม่ว่าจะเป็นท่องตำราหรือการเรียนฟันดาบฝีมือขององค์ชายเสี่ยวหลงนั้นก็โดดเด่นเป็นที่น่าชื่นชมของฝ่าบาท แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจกับฮองเฮาเพราะเกรงกลัวว่าวันหนึ่งเสี่ยวหลงจะเข้ามาเป็นองค์รัชทายาทแทนบุตรชายของตนที่มักเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อยครั้ง นางจึงหาทางทำเช่นไรก็ได้ให้องค์ชายเสี่ยวหลงหมดหนทางที่มาแทนที่บุตรชายของตน จนมีวันหนึ่งนางได้ส่งคนสอนฟันดาบที่เป็นคนของตนเองมิใช่อาจารย์ท่านเดิมที่เคยสอน เมื่อเขาสอนฟันดาบอยู่นั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อปลายดาบได้ไปเฉือนเอาใบหน้าข้างขวาขององค์ชายเสี่ยวหลงจนเกิดบาดแผลเลือดไหลเต็มหน้า ตั้งแต่ครั้งนั้นองค์ชายเสี่ยวหลงก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักไม่ร่าเริงเหมือนที่ผ่านมาแถมยังเอาแต่ใจตนเองเป็นอย่างมากเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ แต่ฝ่าบาทเองก็ยังทรงเอ็นดูและรักองค์ชายเสี่ยวหลงอยู่ไม่จางหาย จนเมื่อถึงอายุที่ต้องแต่งงานฝ่าบาทจึงมองเห็นว่าเรือนใต้เท้าจิวมีบุตรสาวที่เพรียบพร้อมจึงได้ทำการหารือกับใต้เท้าจิวเรื่องงานแต่งครั้งนี้
"เป็นอย่างนี้เอง ว่าแต่องค์ชายเสี่ยวหลงนั้นก็น่าสงสารเช่นกันนะ ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจะโดดเดี่ยวเพียงใด แม้ข้าจะไม่ได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่แต่ไม่เคยโดดเดี่ยวหัวใจเลยสักครา ไม่แปลกที่เจอกันครั้งแรกองค์ชายเสี่ยวหลงจะโหดร้ายใส่ข้า แต่ก็เป็นเรื่องดีเสียจริง "
สักพักก็มีนางกำนัลยกสำรับมาจัดวางที่ห้องโถงพร้อมเดินมาตามจิวหลินให้ไปที่ห้องโถงเพื่อกินอาหาร
"ทูลพระชายาตอนนี้หม่อมฉันได้จัดเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว พระชายาเสด็จไปที่ห้องโถงเถอะเพคะตอนนี้องค์ชายเสี่ยวหลงได้รออยู่ที่นั้นแล้วเพคะ" จิวหลินได้ยินหัวใจก็สั่นรัวนางคิดว่าจะได้นั่งกินอาหารผู้เดียวอย่างสบายใจแต่นี่นางต้องนั่งกินอาหารกับองค์ชายเสี่ยวหลงอาหารมื้อนี้คงทำให้นางท้องอืดแน่ ๆ แต่นางก็ยอมเดินตามนางกำนัลไปที่ห้องโถง โดยมีซือเล่อเดินตาม
เมื่อมาถึงก็พบองค์ชายเสี่ยวหลงนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าบึ้งตึงจนจิวหลินแอบสงสัยว่าเขามีใบหน้าเช่นอื่นบ้างหรือไม่ แต่เมื่อได้ยินเรื่องที่ซือเล่อเล่าให้ฟังนางก็พลอยเห็นใจนางนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา ในห้องโถงเต็มไปด้วยความอึดอัดจนกระทั่งกินอาหารเสร็จองค์ชายเสี่ยวหลงก็ได้เดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักอย่าง จิวหลินเมื่อกินเสร็จนางก็อยากอกมาด้านนอกตำหนักเพื่อยืดเส้นยืดสายเพราะตอนนี้นางรู้สึกอืดท้องเป็นอย่างมากที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเขา
"เฮ้อ! ข้าคิดว่าตนเองจะพะอืดพะอมอาหารจนจะตายที่โต๊ะอาหารนั้นเสียอีก นี่ข้าต้องทนถึงเมื่อไหร่ซือเล่อรุ่งเช้าเจ้ากลับไปที่เรือนเพื่อไปสืบถามเรื่องท่านพี่ให้ข้าที หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงจะได้ตายก่อนที่จะพบท่านพี่เสียอีก"
"ได้เพคะ เมื่อรุ่งสางหม่อมฉันจะมาช่วยจัดเตรียมแต่งกายให้พระชายาก่อนจะกลับเรือนท่านใต้เท้าจิวนะเพคะ " เมื่อหายอาการพะอืดพะอมแล้วรู้สึกสบายท้องจิวหลินก็จะกลับห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนวันนี้เป็นวันที่นางเหนื่อยมากเลยก็ว่าได้แต่แล้วจู่ ๆ นางก็เห็นชายร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ฝั่งห้องนอนขององค์ชายเสี่ยวหลง ห้องของนางนั้นอยู่ฝั่งซ้ายส่วนของขององค์ชายเสี่ยวหลงอยู่ฝั่งขวาโดยมีทางเดินเป็นทางขว้างกั้นเท่านั้น นางจึงห่วงความปลอดภัยของเขาทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง
"ซือเล่อ เจ้าไปรอข้าที่ห้องก่อนเดี๋ยวข้ามา"
"จะไปที่ใดหรือเพคะ"
"ข้าขอเดินต่ออีกสักหน่อย"
"ได้เพคะ " ซือเล่อเข้าใจหัวอกของจิวหลินที่จู่ ๆ ก็ได้เข้ามาอยู่ในวังหลวงแทนที่พี่สาวจึงปล่อยให้จิวหลินอยู่เพียงลำพัง เมื่อซือเล่อเดินไปพ้นจึงไม่เห็นหลังนางแล้ว จิวหลินจึงค่อย ๆ ย่องไปอีกฝั่งเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าชายที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นเป็นผู้ใด แถมยังแต่งกายน่าสงสัย
"นี่เจ้าเป็นใคร ผู้ใดส่งเจ้ามาเจ้าคงจะเข้ามาลอบทำร้ายองค์ชายเสี่ยวหลงหรือ หากเจ้าไม่อยากถูกจับได้รีบหนีไปซ่ะไม่เช่นนั้นข้าจะร้องเรียกให้ทหารมาจับเจ้า" จิวหลินตะโกนออกไปโดยไร้ความกลัวเมื่อเขาหันมามองนางก็แสยะยิ้มกว้างแล้วก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้
"เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรือ สตรีร่างเล็กอย่างเจ้าแค่ข้าผลักเล็กน้อยเจ้าก็ล้มลงกับพื้นแล้ว" จิวหลินไม่ได้เกรงกลัวจึงรีบส่งสายตามองหาสิ่งของที่มาเป็นอาวุธใช้ป้องกันแต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเจอจึงคิดได้ว่าปิ่นปักผมที่อยู่บนหัวสามารถนำมาเป็นอาวุธได้นางจึงดึงปิ่นปักผมนั้นลงมาทำให้ผมของนางสยายยาวจนชายตรงหน้าต้องตกตะลึงในความงาม
"อย่าเข้ามานะ คิดว่าข้าเป็นเพียงสตรีแต่ข้าก็ไม่ได้หวาดกลัวเช่นกัน " จิวหลินจับปิ่นหันไปทางด้านหน้าชายผู้นั้นแต่เขากลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะคว้าตัวของจิวหลินและนำปิ่นออกจากมือโดยง่าย จนตอนนี้นางอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสียแล้ว
