บทที่ 1 คนโมโหร้าย 1.1
ไร่เพลิงตะวัน
เพล้ง!!!
"ออกไป กูบอกให้ออกไป!!"เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของพ่อเลี้ยงเหมราชเจ้าของไร่เพลิงตะวัน ทำเอาบรรดาคนรับใช้พากันหวาดผวา ต่างคนต่างพากันรีบวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเอาตัวรอดจากอารมณ์แปรปรวนของผู้เป็นเจ้านาย วิ่งหนีกระจัดกระจายออกจากห้องนอนใหญ่ที่ตอนนี้ไม่ต่างจากสนามรบ
เพราะทั่วพื้นที่ในห้องนอนใหญ่มันเต็มไปด้วยเศษแก้วจานชามที่ถูกเจ้าของห้องปาทิ้งลงพื้นระบายอารมณ์โดยไม่สนใจว่าเศษแก้วมันจะโดนใคร
มันอาจเป็นภาพชินตาของใครหลายคนที่นี่
ยกเว้นก็แต่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ดวงตาเบิกกว้างมองเจ้าของบ้านอย่างตะลึงลาน ด้วยอาการตื่นตระหนก ร่างแบบบางเหมือนจะแข็งค้างไปโดยพลันเธอรู้สึกกลัวจนก้าวขาไม่ออก นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นช่างมีอำนาจน่ากลัวนัก ดวงตาสุกใสกรอกซ้ายกรอกขวาไม่กล้าสบตาเขา ใบหน้าสวยซีดเซียวเหมือนคนจะเป็นลม ผิดกับร่างสูงที่รู้สึกพอใจที่เห็นเธอหน้าซีดเผือดสีลงไปในพริบตา
เพล้ง!!!
แก้วน้ำถูกปาผ่านใบหน้าสวยของคนที่ยังยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง อิงฟ้าใจกระตุกวูบอย่างแรงกะทันหัน แต่ไม่กล้าขยับเพราะพื้นที่ในห้องนอนใหญ่เกือบทั้งห้องมีแต่เศษแก้วที่ถูกปาลงพื้นจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี อิงฟ้ายังคงยืนตัวสั่นเทาไม่กล้าก้าวไปทางไหน ได้แต่ก้มหน้างุดปลายคางแทบจะถึงอกเพราะเกรงว่าถ้าหากเงยหน้าไปสบตายักษ์ตัวโตที่กำลังอาละวาดตนเองจะกลายเป็นศพเสียแน่แท้ ความเงียบสงัดที่น่าอึดอัดพิกลนี้ช่างชวนให้อกสั่นขวัญแขวนเสียจริง แต่ใครจะรู้ว่าในความเงียบนั้นมีหัวใจดวงน้อยดวงนี้มันเต้นสั่นระทึกด้วยความหวาดกลัวเพียงใด
"ทำไมยังไม่ไปอีก ฟังที่กูพูดไม่ออกเหรอวะ!!" เสียงตวาดคำรามกึกก้อง สายตาดำมืดยามมองมายังร่างเล็กที่ยืนตัวสั่นอย่างกับลูกนก แต่ก็ไม่ทำให้คนตัวโตเกิดความสงสาร มีแต่จะเพิ่มความโมโหเมื่อเห็นชัดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
"ออกไปสิวะ!! ออกไป!!!" เสียงกัมปนาทของเจ้าของบ้าน ทำเอาหญิงสาวยิ่งก้าวเท้าไม่ออกสองเท้ายืนทื่ออย่างกับตอไม้ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างถึงที่สุด
ปึก!!!
"โอ๊ย!"
เสียงร้องอย่างตกใจของเด็กสาวไม่ทำให้คนที่กำลังอาละวาดปาข้าวของจะหยุดแม้แต่น้อย
อิงฟ้าที่โดนที่เขี่ยบุหรี่ปามาโดนหน้าผากถึงกับยกมือกุมอัตโนมัติ ความเร็วกับน้ำหนักของมันทำให้อิงฟ้าหลบไม่ทันจึงกระแทกหัวเธอเข้าอย่างจังแต่เพราะการปาอย่างสะเปะสะปะอย่างคนไม่ตั้งใจ ทำให้เธอไม่โดนเข้าเต็มแรงแต่ขนาดโดนแบบเฉียด ๆ เธอก็เจ็บจนจะร้อง มือบางสัมผัสได้ถึงน้ำข้นหนืดที่กำลังไหลออกมาตามร่องนิ้ว กลิ่นคาวของสนิมลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เธอยืนเม้มปากสนิทข่มกลั้นความเจ็บเอาไว้
อิงฟ้าที่ได้สติก็ได้แต่ข่มความเจ็บไว้เมื่อคิดได้ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ มือขาวข้างที่ว่างยื่นไปหยิบเศษแก้วเศษจานที่เกลื่อนพื้น สองมือหยิบเศษกระเบื้องทีละชิ้นลงถังขยะ ไม่สนใจเลือดข้น ๆ ที่กำลังไหลผ่านใบหน้าหวาน เธอตั้งหน้าตั้งตาเก็บเศษแก้วไม่นำพาความเจ็บจี๊ดของนิ้วเรียวที่ถูกเศษแก้วบาดยามที่เธอไม่ทันระวัง อีกทั้งเท้าเรียวยังเหยียบเศษแก้วจนเจ็บจี๊ด แต่เธอก็ไม่สนใจยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บเศษกระเบื้องบนพื้นต่อ
นัยน์ตาสีนิลมองผู้หญิงตรงหน้าที่สภาพดูไม่ได้ด้วยใบหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายหลังจากระบายอารมณ์จนพอใจ มือหนาคว้าบุหรี่เนื้อดีมาสูบ แต่สายตาคมกริบดุดันก็มองตามคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างไม่วางตา ไม่ได้มีความสงสารในแววตาคู่นั้น มีแต่ความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด
ก๊อก ๆ
"ว๊าย!!ตาเถร ตายแล้ว..นี่มันเกิดอะไรขึ้น" เสียงร้องของคนมาใหม่ไม่ทำให้คนที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนพ่นควันสีเทาฟุ้งกระจายไปทั่วห้องมีทีท่าจะสนใจ ร่างสูงยังคงอัดบุหรี่เข้าปอดอย่างต่อเนื่องตาสีนิลปรายตามองผู้มาใหม่เล็กน้อยก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาติด ๆ
"มาทำไมครับ" น้ำเสียงเย็นชาถามคนที่มาใหม่อย่างไม่ใส่ใจ
"เหม" หญิงสูงวัยเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหน้าหมองเศร้าน้ำตาคลอ ส่วนคนรับใช้คนอื่นที่ตามเข้ามาก็รีบเข้ามาช่วยเด็กสาวเก็บทำความสะอาดพื้นห้อง หลังจากที่เหล่าคนรับใช้พากันวิ่งกระเจิดกระเจิงหนีเอาตัวรอดจากอารมณ์รุนแรงของเจ้าของบ้าน พวกเขาลืมไปว่ายังมีเด็กสาวที่เพิ่งมาใหม่อยู่ในห้องนี้ด้วย
หญิงรับใช้คนหนึ่งที่เพิ่งคิดได้ว่ามีเด็กสาวชาวกรุงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ อยู่กับเจ้านายอารมณ์ร้ายสองต่อสองก็เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากแม่เลี้ยงจันทราผู้เป็นมารดาของเจ้าของบ้าน แต่เหมือนกับว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เพราะสภาพเด็กสาวในตอนนี้ดูช่างน่าสงสารนัก
หลังจากที่ได้รับรายงานว่าลูกชายคนเดียวกำลังอาละวาดหนัก แม่เลี้ยงจันทราที่กำลังจัดเตรียมอาหารมาให้ลูกชายถึงกับทิ้งตะหลิวกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่บ้านของลูกชายที่อยู่ภายในรั้วเดียวกัน หากแต่สร้างแยกออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัว
"ออกไปให้หมด เอามันไปด้วย!!" น้ำเสียงดุดันของพ่อเลี้ยงเหมราชทำเอาเหล่าคนรับใช้ตัวสั่น พอทำความสะอาดห้องเสร็จก็รีบพากันออกมา รวมถึงอิงฟ้าที่โดนหญิงรับใช้คนหนึ่งประคองออกมากด้วย เด็กสาวยังคงมีอาการหวาดกลัวสังเกตได้จากเนื้อตัวที่ยังสั่นเทาอยู่ไม่หาย
"เหม แม่ไม่อยากเห็นเหมเป็นแบบนี้" คนเป็นแม่เดินเข้ามาหาลูกชายด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา รู้สึกสงสารลูกชายใจแทบขาดใจ
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนเมื่อสี่เดือนก่อนทำให้ตอนนี้ลูกชายของเธอกลายเป็นคนพิการช่วงล่างตั้งแต่หัวเข่าลงไป ทำให้ตอนนี้เดินไม่ได้ ถึงตำรวจจะจับตัวคนชนได้และส่งตัวเข้าคุกไปแล้ว แต่ดูเหมือนงานนี้จะจับแพะเสียมากกว่า
หลังจากอุบัติเหตุลูกชายเธอก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน จากชายหนุ่มอารมณ์ขันเป็นคนอบอุ่นมีความเป็นผู้นำชอบช่วยเหลือคนอื่น ลูกน้องคนงานต่างก็รักและเคารพเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในจังหวัดและยังมีชื่อเสียงไปตามจังหวัดใกล้เคียง และยังเป็นเจ้าของไร่ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของภาคเหนือชื่อเสียงเลื่องลือทั้งความสามารถทั้งหน้าตา แต่ตอนนี้กลายเป็นคนโมโหร้ายใครก็เข้าหน้าไม่ติดรวมถึงตัวเธอด้วย
‘ไร่เพลิงตะวัน’ ถือเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในแถบภาคเหนือเพราะต้นตระกูลเธอเป็นถึงเจ้าเมืองเหนือมีพื้นที่ครอบครองอยู่ในมือนับหมื่นไร่ กระจายทั่วไปตามแต่ละจังหวัดยิ่งเธอเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวด้วยแล้ว มรดกตกทอดจึงส่งต่อมาที่เธออย่างเลี่ยงไม่ได้มีแต่คนคอยเข้าหาหวังจะเป็นแม่เลี้ยงของไร่เพลิงตะวัน
พอบรรพบุรุษล้มหายตายจากไปกันหมดก็เหลือเพียงเธอที่ดูแลมรดกมากมาย และส่งต่อให้บุตรชายของเธอ
ส่วนลูกชายก็ขยันขันแข็งสามารถนำที่ดินมาต่อยอดธุรกิจได้อีกมากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน ทั้งไร่ชา ไร่ผลไม้ที่ลูกชายเธอขยันเอามาทดลองปลูกจนได้ติดอันดับสวนผลไม้ที่มีมาตรฐานส่งออกนอกได้ไม่ต่ำกว่าปีละหลายพันตันทั้งโรงงานแปรรูปผลไม้ก็ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งวัวนมทั้งม้าพันธุ์ดีและสัตว์ต่าง ๆ มากมายที่ลูกชายเธอสรรหามาเลี้ยงกระจายอยู่ทั่วไร่ และยังมีพื้นที่เปิดใหม่ที่นำสัตว์มาเลี้ยงตามธรรมชาติคล้ายสวนสัตว์เปิดปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเที่ยวชมได้ตลอดวันเพียงแค่เสียค่าเข้าและยังมีอีกหลายอย่างที่ลูกชายเธอหุ้นกับเพื่อนซึ่งเธอเองก็ไม่รู้มากนัก
เธอเองยอมรับว่าลูกชายเธอนั้นเก่งมาก ๆ สามารถสร้างธุรกิจต่อยอดและยังสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ได้อีกด้วย คนพื้นที่ที่เข้าไปหางานทำในเมืองหลวงพอรู้ว่าที่บ้านเกิดมีงานให้ทำก็พากันกลับมาทำงานที่นี่และยังได้ดูแลพ่อเฒ่าแม่แก่อีก
ลูกชายเธอถึงได้เป็นที่รักของชาวบ้านและพนักงานทุกคนก็ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
แต่...