บทย่อ
"เอ้า แล้ววิชาอาคมของตระกูลที่สืบทอดกันมาล่ะ ไหนจะชาวบ้านที่เขาหวังพึ่งเรา" "วิชาอาคมก็เก็บไว้บนหิ้งพระ ส่วนชาวบ้านเจ็บป่วยก็พากันไปหาหมอสิ โรงพยาบาลก็อยู่ใกล้แค่นี้" พูดหน้าตาดื้อ ๆ "บ๊ะ ไอ้นี่ มันเถียงฉอด ๆ ยังกะพวกผู้หญิง ทำตัวให้มันแมน ๆ หน่อยสมกับเป็นผู้ชายหน่อย" แหมะ รู้จักภาษาปะกิตกับเขาด้วย วันจันทร์เกือบจะแซวผู้เป็นพ่อแต่กลัวถูกไม้เท้าเคาะหัว --------------- "แบบนี้จะมีลูกมีเมียเป็นหัวหน้าครอบครัวกับเขาได้ยังไง" ตาแช่มว่า แกชักโมโหเมื่อลูกชายเถียงไม่หยุดปากจนเริ่มเถียงไม่ทัน "โอ๊ย พ่อ!ช่วยดูสภาพหนูหน่อยเถอะ" สูง 168 หนัก 60 นุ่มนิ่มไปทั้งตัวจับไปตรงไหนก็มีแต่เนื้อ หน้าร้อนก็แก้มแดง หน้าหนาวก็แก้มแดง "ให้หนูหาผัวยังง่ายกว่าตั้งเยอะ ทุกวันนี้มีแต่ผู้ชายมาจีบ" คุณหมอนวดพูดอุบอิบเสียงเบา "ห้ะ เมื่อกี้เอ็งว่าอะไรนะ!?" "เปล๊า!" ------------------------ จากใจผู้เขียน สวัสดีค่ะ นักอ่านที่รักทุกท่าน นิยายเรื่อง“พ่อเป็นหมอผี ลูกเป็นหมอนวด” นิยายวายแนวโรแมนติคคอมเมดี้ ผสมผสานกับเรื่องราวลี้ลับ ไสยศาสตร์และความเชื่อ ผลงานนิยายวายเรื่องแรกของนักเขียน นามปากกาไร้ท์ผู้แพ้ขนแมว เรื่องราวของวันจันทร์ สกุลดี ชายหนุ่มร่างบางหน้าตาสวยจิ้มลิ้ม อายุ 26 ปี เรียนจบรัฐศาสตร์บัณฑิต มีพ่อเป็นหมอธรรม หมอมนต์ พ่อหมอเฒ่าที่คนทั้งตำบลต้องเคยถือพานขันธ์ห้าเข้ามาขอให้ช่วยปัดเป่าคุณไสย ไล่ปอบ หรือ เป่ารักษากระดูกหัก หมอแช่มผู้เป็นพ่อคาดหวังให้ลูกชายรับสืบทอดวิชาปัดเป่ารักษาของบรรพบุรุษ แต่ลูกชายเรียนจบมาดั๊นมาเปิดร้าน "วันจันทร์นวดแผนไทย" เลยกลายเป็น คุณหมอนวด คำเตือน : นิยายชายรักชาย มีเนื้อหาเกี่ยวกับคาถาอาคม ไสยศาสตร์ พิธีกรรม ผีและความเชื่อในบางท้องถิ่น พล็อตนิยาย ตัวละคร สถานที่ เป็นสิ่งที่นักเขียนจินตนาการขึ้นทั้งหมด แต่ สิ่งเดียวที่เป็นของจริงในนิยายเรื่องนี้ คือ “บทสวดคาถาอาคม” ซึ่งไร้ท์ได้ทำพานธูปเทียนขันธ์ ๕ ขออนุญาตคุณพ่อและครูบาอาจารย์นำมาสาธยายลงในนิยายเพื่อเป็นการระลึกถึง อ่านเจอคาถาในบทไหนก็ไม่ต้องคิดมากแค่อ่านจบบทแล้วยกมือไหว้สาธุก็พอ ด้วยรัก ไร้ท์ผู้แพ้ขนแมว
#บทที่ 1 บทนำ
หลังเสร็จพิธีรับปริญญารัฐศาสตร์บัณฑิตวันจันทร์ให้ครอบครัวกลับบ้านต่างจังหวัดไปก่อน ตนเองต้องอยู่จัดการเรื่องเอกสารอีกหลายอย่าง รวมทั้งเก็บข้าวของที่สะสมมาตลอดระยะตั้งแต่เรียนปี 1 ถึงปี 4 และคืนหอพัก
สามวันต่อมาจัดการเอกสารเรียบร้อยวันจันทร์เรียกระดมพลเพื่อนสนิทที่มีอยู่สองคนมาช่วยเก็บแพ็กของใส่ลังตั้งแต่เช้ายันเย็น ดูทรงจากกองสมบัติที่กองพะเนินท่วมห้องในตอนนี้ วันจันทร์คิดว่า "เรียกหกล้อมาขนเถอะ ไอ้เหี้ย ถ้าจะเยอะขนาดนี้ทิ้งก็เสียดาย" ชายหนุ่มร่างโปร่งสบถตามประสาวัยรุ่นห้าวเป้งขัดกับหน้าตาน่ารักเรียบร้อยของเจ้าตัว
เพื่อนอีกคนเหงื่อท่วมตัวนั่งจ่อหน้าใส่พัดลมพยักหน้าหงึกหงัก
"เออ ฉันเห็นด้วยว่ะแก แต่ก่อนอื่นเก็บสมบัติเสร็จแล้วพาพวกเราไปเลี้ยงหมูกระทะบุพเฟ่ต์หลังมอซะดีๆ"
มาถึงร้านหมูกระทะบุพเฟ่ต์เจ้าดังหลังมอคนเริ่มนั่งกันแน่นแล้ว หนึ่งชั่วโมงผ่านไปกองจานซ้อนพะเนินหลายตั้งอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มมองเพื่อนสองคนแล้วถอนหายใจ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...
"วันจันทร์ โทรศัพท์"
"ใครโทรมา?" เปิ้ลบุ้ยปากถามเพื่อน
"เจ้าดวง" วันจันทร์หมายถึงน้องชายคนเล็กที่เพิ่งเดินทางมางานรับปริญญาของเขาพร้อมครอบครัว
"ว่าไง ดวง เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็กลับแล้ว เพิ่งเก็บของเสร็จ ออกมากินหมูกระทะกับไอ้เจ้าเปิ้ล เจ้าพายอยู่"
"หะ? ว่าไงนะ แม่โดนรถชน"
ไม่ทันจะหายตกใจชายหนุ่มก็ต้องอึ้งกับข้อความในสาย "โดนชนตั้งแต่วันที่กลับจากงานรับปริญญาแล้ว แต่ดวงเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้โทรบอกพี่ เจ้าดวง!"
วันรุ่งขึ้นวันจันทร์เรียกรถหกล้อมาขนของแต่เช้าตรู่มีเพื่อนสนิทสองคนนอนค้างด้วยแต่เมื่อคืนยืนโบกมือตามหลัง
"วันจันทร์เดินทางปลอดภัยนะ!"
"บอกพ่อกับแม่อาทิตย์หน้าพวกเราจะไปเยี่ยม"
ไปถึงบ้านก็ช่วงเย็นน้องชายคนเล็กอยู่เฝ้าบ้านพอดีช่วยพี่ชายขนสมบัติเข้ามากองในบ้าน ไม่ทันได้จัดข้าวของเข้าที่วันจันทร์ก็ให้น้องชายขับรถพาไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอซึ่งห่างจากหมู่บ้านโนนเจริญแค่ 1 กิโลเมตร
เข้าไปในห้องพักผู้ป่วยเห็นสภาพของคุณนายเพ็ญศรี นอนหลับตาใบหน้าซีดเซียวกลายร่างเป็นมนุษย์มัมมี่ไปแล้ว คอใส่เฝือกอ่อน แขนซ้ายใส่เฝือกมีผ้าคล้องคอช่วยพยุงไว้ ขาขวาใส่เฝือกยาวตั้งแต่หัวเข่าถึงนิ้วเท้า วันจันทร์ถึงกับปล่อยโฮ
"ฮือ ๆ แม่จ๋าแม่ ทำใจดี ๆไว้นะ โฮ ๆ"
"ร้องไห้หาพ่อเอ็งเรอะ ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย! คนจะนอนพักสายตาอย่ามาทำเสียงดัง" ยายเพ็ญศรีผงกหัวขึ้นมาถลึงตาใส่ลูกชายคนโตที่มาถึงก็ร้องไห้เป็นเด็ก ๆ
"อึก อ้าว ก็หนูเห็นหลับตานึกว่าสลบอยู่"
วันจันทร์เก็บน้ำตากลับคืนแทบไม่ทัน "ก็ตอนดวงโทรบอกแม่สลบยังไม่ได้สติหนิ หนูก็นึกว่าแม่ยังไม่ฟื้นน่ะสิ"
"เมื่อวานพอพ่อไปทำพิธีเรียกขวัญตรงที่แม่โดนชนกลิ้งตกถนนกลับมาแม่ก็ฟื้นแล้ว" คนน้องว่า เต็มดวงจัดเก็บกระเป๋าของใช้ในการนอนเฝ้าแม่เข้าตู้เก็บของข้างเตียงผู้ป่วยเสร็จหันมองซ้ายขวา
"แม่ แล้วพ่อไปไหนล่ะ"
"น่าจะไปคุยกับหมอมั้ง" คนเจ็บว่าท่าทางไม่อินังขังขอบ
"สงสัยพ่อจะไปถามอาการแม่แหละพี่จันทร์"
ไม่ทันขาดคำชายชราร่างผอมเล็กวัย 70 ปีก็เดินแข้งขาคล่องแคล่วนำหน้าแพทย์ผู้ให้การรักษาภรรยาตั้งแต่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลมา
"พ่อ หวัดดีจ้ะ" ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อ ตาแช่มพยักหน้ารับหันไปถามหมอทันที
"คุณหมอ ตกลงอาการยายต้องนอนพักรักษาตัวนานแค่ไหน"
คุณหมอหนุ่มหน้าละอ่อนก้มหน้าอ่านชาร์ตในมือก่อนอธิบายเสียงนุ่ม "คืออย่างนี้นะครับญาติ เคสของคุณยายถูกรถชน กระดูกขาหักหลายท่อนแต่ว่ากระดูกไม่แตกจึงไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แขนซ้ายหักท่อนเดียว ซี่โครงน่าจะหักด้วยแต่ก็ไม่ได้ทิ่มอวัยวะสำคัญ โอ้ ถือว่าโชคดีมากเลยครับ"
วันจันทร์ได้ยินก็อยากจะถามหมอจริง ๆ นี่เรียกว่าโชคดีเหรอ ตนเองยังนึกไม่ออกเลยว่าคุณนายเพ็ญศรีกลิ้งกี่ตลบกระดูกกระเดี้ยวถึงหักทั้งตัวขนาดนี้
"ส่วนที่น่าเป็นห่วงคือ กระดูกคอที่เคลื่อนหนึ่งข้อกับกระดูกสันหลังเคลื่อนนะครับซึ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นและทำกายภาพระยะเวลาหนึ่งกระดูกจะค่อย ๆ ขยับเข้าที่เหมือนเดิม"
คุณหมอหนุ่มพูดถึงตรงนี้หยุดกระแอมเล็กน้อย "อะแฮ่ม! หมอบอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนคนไข้ถึงจะกลับมาเดินได้ ต้องบอกตามตรงโรงพยาบาลอำเภอเราไม่มีหมอกระดูกและไม่มีแพทย์ผ่าตัดเฉพาะทางนะครับ แต่ ทางโรงพยาบาลได้ทำการรักษาครบตามขั้นตอนที่ทำได้แล้ว"
ฟังแล้ววันจันทร์อยากจะถอนหายใจแรง ๆ โรงพยาบาลบ้านนอกติดขอบชายแดนบุคลากรไม่เพียงพอ งบประมาณก็ขาดแคลน ดีนะมีเครื่องเอกซเรย์กับเครื่องอัลตราซาวด์อยู่
"การฟื้นฟูต้องดูจากปัจจัยหลายอย่างคนเจ็บเองก็อายุมากแล้วการฟื้นฟูร่างกายค่อนข้างยากกว่าเด็กหนุ่มสาว หมอเองก็บอกไม่ได้ว่าคนเจ็บจะกลับมาเดินได้เป็นปกติหรือเปล่า
ถ้าญาติต้องการส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลตัวจังหวัดหมอจะออกใบส่งตัวให้ แต่อย่างที่บอกคนเจ็บอายุมากความเสี่ยง 50/50"
"แปลว่าถ้าไม่ส่งตัวผ่าตัดที่โรงพยาบาลจังหวัด จะนอนรักษาต่อที่นี่ โรงพยาบาลก็ทำได้แค่ให้ยาระงับปวด ไม่มีขั้นตอนรักษาเพิ่มเติมแล้วใช่ไหมครับ" วันจันทร์ฟังสรุปการรักษาภาษาหมอจนวิงเวียนกว่าจะย่อยออกมาสรุปให้พ่อกับน้องชายหน้าตามึนงงกับข้อมูลวิชาการฟัง
"ใช่ครับ รอประมาณ 45 วันจะทำการตัดเฝือกให้คุณยายแล้วตรวจอาการโดยรวมอีกครั้ง จากนั้นถึงจะส่งไปทำกายภาพบำบัดครับ"
"งั้น ครอบครัวจะขอพายายออกไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านเอง" ตาแช่มตัดสินใจ
"เราไม่ส่งแม่ไปลองผ่าตัดดูเหรอพ่อ บางทีอาจจะได้ผลดีก็ได้" วันจันทร์ว่า เต็มดวงทำตาปริบ ๆ ไม่มีความคิดเห็น
"โอ๊ย ไม่เอาหรอก เกิดข้าไม่ฟื้นขึ้นมาอีกล่ะ กลับไปนอนอยู่บ้านเราดีกว่า ดีเหมือนกันความฝันเป็นคุณนายได้นั่งกินนอนกินของข้าจะได้เป็นจริงสักที"
คุณนายเพ็ญศรีว่าหลังนอนกลอกลูกตาฟังคนนั้นคนนี้พูดมานานเพราะคอติดเฝือกอ่อนหันตามไม่ได้
"แม่..." วันจันทร์พูดน้ำเสียงใกล้จะร้องไห้เต็มที ชายหนุ่มคิดว่าคุณนายเพ็ญศรีแกล้งพูดตลกเพื่อกลบเกลื่อน
"ตกลงทำเรื่องขอกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านนะครับ"
เนื่องจากเย็นแล้ววันจันทร์กับเต็มดวงน้องชายจึงไปติดต่อเรื่องกับเจ้าหน้าที่ รอตอนเช้าวันพรุ่งนี้ถึงจะพาผู้เป็นแม่ออกจากโรงพยาบาลได้ ตาแช่มบอกจะนอนเฝ้าเมียเองไล่ให้ลูก ๆ กลับไปนอนบ้าน หลังกินข้าวเย็นเสร็จวันจันทร์ก็หน้าตาเคร่งเครียดเข้าห้องนอนปิดประตูเงียบ เต็มดวงมองตามร่างผอมบางของพี่ชายอย่างงุนงง ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลพี่ชายเขาก็ทำหน้าตาเหมือนคนอยากจะร้องไห้
วันจันทร์เข้าห้องมาแอบนอนร้องไห้คนเดียวกลัวแม่จะต้องพิการ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงตลอดชีวิต อยากจะพูดคุยปรึกษาหาหนทางรักษาแม่กับน้องชายก็เปลี่ยนใจ เต็มดวงเพิ่งจบมัธยมปลายให้น้องยุ่งกับการเตรียมใช้ชีวิตนักศึกษาก็พออย่าเอาเรื่องแม่ไปเพิ่มความเครียดน้องชายเลย
จริงสิ! หมอก็พูดถึงการทำกายภาพเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพกล้ามเนื้อของผู้ป่วย แต่ต้องรอหลังจากตัดเฝือกแล้วพวกตนคงต้องขนแม่ไปกลับโรงพยาบาลทุกวัน ๆ เพื่อรักษา แต่ถ้าเขาสมัครเรียนหลักสูตรนวดกายภาพเองล่ะ...
แม่เขาก็ไม่ต้องถูกหิ้วปีกทุลักทุเลไปทำกายภาพที่โรงพยาบาลให้ลำบาก แต่สามารถทำกายภาพทุกวันได้ที่บ้านเพราะมีลูกเป็นนักกายภาพ!
เยส!สุดยอดไปเลย แกนี่มันฉลาดจริง ๆ วันจันทร์!
ชายหนุ่มวัย 23 ปีเพิ่งฉลองรับปริญญาหมาด ๆ กระโดดโลดเต้นกับที่นอนไปมาก่อนรีบมาเปิดโน้ตบุ๊กค้นหาข้อมูลการสมัครเรียนกายภาพบำบัด
"นี่ไง เจอแล้ว!"
.
.
.
.
รุ่งเช้าวันจันทร์สีหน้าสดชื่นขับรถกระบะคันเก่าของที่บ้านพาน้องชายไปรับผู้เป็นแม่ออกจากโรงพยาบาล วันจันทร์ให้พ่อกับน้องช่วยกันประคองแม่นั่งวีลแชร์ออกมาขึ้นรถที่ขับมาจอดเทียบหน้าตึกอุบัติเหตุ ตนเองก็ไปจ่ายค่ารักษา รับยาและใบนัดรักษาติดตามอาการของผู้เป็นแม่ เสร็จเรียบร้อยสี่พ่อแม่ลูกก็นั่งรถกลับบ้านกัน
เพื่อให้คุณนายเพ็ญศรีได้นอนพักฟื้นในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท มีพื้นที่รองรับเหล่าญาติกับเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงที่จะต้องแวะเวียนมาไถ่ถามอาการ วันจันทร์กับน้องชายช่วยกันหามเตียงไม้ไผ่ขนาด 3 ฟุตออกมาวางโถงใหญ่กลางบ้านของครอบครัว ได้กลับบ้านสีหน้าคุณนายเพ็ญศรีดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จัดคนจัดเตียงเสร็จไม่ทันไรเสียงคนพูดคุยดังมาจากทางเข้าบ้าน เต็มดวงเดินไปชะโงกที่หน้าประตูบ้าน "พวกป้า ๆ อา ๆ มาเยี่ยมแม่กันหลายคนเลย"
วันจันทร์ปล่อยให้พ่อกับแม่ได้พูดคุยกับญาติ ๆ ไป ตัวเองหลบเข้าไปทำกับข้าวกับปลาในครัว ตกเย็นคนมาเยี่ยมเริ่มซาลงวันจันทร์โผล่จะมาถามแม่ว่ามื้อเย็นอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม กลับเห็นคนเป็นแม่ร้องไห้อยู่มีตาแช่มยืนก้มตัวอยู่ด้านข้างเตียง
"แม่จ๋า ไม่ต้องกลัวนะ! อย่าเพิ่งหมดหวัง หนูจะไม่ยอมให้แม่เป็นผู้พิการ"
"หืออ?..." ยายเพ็ญศรีกับผัวหันมองลูกชายเป็นตาเดียว
"รอเดี๋ยว หนูจะเอาอะไรให้ดู"
"เจ้าจันทร์ อะไรของมันวะ"
ไม่รอให้ถามลูกชายก็วิ่งตื๋อเข้าไปในห้องนอนตัวเอง ก่อนวิ่งกลับออกมาพร้อมแผ่นกระดาษในมือ
"นี่ไง พ่อ แม่ หนูลงทะเบียนสมัครเรียนหลักสูตรแพทย์แผนไทย แม่อดทนรอแค่ 2 ปีหนูจะเป็นคนกายภาพบำบัดรักษาให้แม่กลับมาเดินได้หายเป็นปกติเอง!"
วันจันทร์พูดไปร้องไห้ไปยื่นใบสมัครเรียนพร้อมใบเสร็จค่าลงทะเบียนที่ตนเองปริ้นต์ออกมาเก็บเป็นหลักฐานไว้ยื่นวันเปิดเทอมให้พ่อแม่ดู
คุณนายเพ็ญศรีหยิบใบลงทะเบียนพร้อมใบเสร็จมาอ่านขึ้นลง ๆ อยู่หลายรอบ
"หลักสูตรแพทย์แผนไทย?"
"ใช่จ้ะ แม่ หลักสูตร 2 ปี วิทยาลัยในเมืองเรานี่แหละ มีหอพักให้ด้วย"
"จ่ายค่าเทอมแล้ว?"
"ใช่จ้ะ ปี 1 เรียน 3 เทอม ค่าเทอมแพงสักหน่อยแต่ไม่เป็นไรถ้ามันจะช่วยรักษาแม่ได้"
"เท่าไหร่?"
"ค่าเรียน 3 เทอม 40,000 บาทพอดีจ้ะ ขึ้นปี 2 จะแพงกว่านิดหน่อย"
"เจ้าจันทร์..."
"แม่มันใจเย็น..." ตาแช่มลูบหลังปลอบเมีย
วันจันทร์เห็นคุณนายเพ็ญศรีก้มหน้ากำมือแน่นก็คิดว่าแม่กำลังตื้นตันใจ แต่ว่า...
"วันจันทร์ แกเป็นโรคประสาทรึไง ห้ะ! รึเรียนเยอะเกินเลยเป็นบ้า!"
"ทำไมแม่ถึงด่าหนูล่ะ" ชายหนุ่มวัย 23 ถูกแม่ด่าก็ปากเบะจะร้องไห้ทันที
"แกลืมรึไง! ว่าพ่อแกเป็นหมอเป่ารักษากระดูก รักษาคนแขนขาหักมาเป็นร้อย ๆ คน พ่อแกถึงไม่ได้ขอใบส่งตัวแม่ไปผ่าตัดโรงบาลในเมืองไง"
"เอ๊อะ!" วันจันทร์ตาโต
"ทำหน้าอย่างงี้ แกลืมใช่ไหม แกสมองเสื่อมรึไง!"
"แหะ แหะ ก็ตอนนั้นหนูตกใจหนิ ก็คุณหมอบอกไม่รับประกันว่าแม่จะเดินได้อีกหรือเปล่า หนูกลัวแม่ต้องกลายเป็นผู้พิการติดเตียง"
"เรียนมา 4 ปียังไม่พออีกเหรอ วิชาความรู้คืนครูบาอาจารย์ไปหมดแล้วใช่ไหม สมัครเรียนอีก 2 ปี กะจะแก่ตายคามหา'ลัยเลยไง?"
"นี่ล่ะหนา คนโบร่ำโบราณถึงว่าอย่าให้ลูกเรียนสูงเกิน ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ขายวัวส่งควายเรียนแท้ ๆ"
อูยย... มาเป็นชุด สำนึกไม่ทันแล้วแม่จ๋า
"แม่จ๋า เลิกด่าหนูเถอะ เดี๋ยวหนูก็โง่จริง ๆ หรอก แล้วเมื่อกี้แม่ร้องไห้ทำไมล่ะ หนูคิดว่าแม่เสียใจที่ต้องพิการเดินไม่ได้"
"ก็พ่อแกมาชนแขนข้างที่หักข้าก็เจ็บน่ะสิ"
ตาแช่มพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ ๆ แม่มันเลิกด่าลูกเถอะ แค่เจ้าดวงมันอ๊อง ๆ เอ๋อ ๆ คนเดียวก็พอแล้ว อย่าให้เจ้าจันทร์กลายเป็นคนโง่อีกคนเลย"
"เอ้า พ่อ ทำไมชอบว่าหนูอยู่เรื่อยเลย" เต็มดวงขับรถเครื่องกลับจากตลาดได้ยินพ่อพูดพอดี
"แล้วจะทำยังไงกับใบลงทะเบียนนี่ล่ะ เขาไม่คืนเงินทุกกรณีนะแม่" วันจันทร์ถามเสียงอ่อย
"เสียเงินแล้วก็ต้องไปเรียนสิ พูดแล้วอยากลุกไปทุบคน เรียนจบแทนที่จะได้กลับมาทำงานอยู่บ้านช่วยดูแลพ่อแม่บ้าง ฮึ่ย!"
"เดี๋ยวหนูจะเลือกเรียน จันทร์-ศุกร์ ช่วงเสาร์อาทิตย์ก็กลับมาช่วยงานที่บ้าน เรียนจบมาก็มีความรู้เอาไว้คอยนวดคลายเส้นให้พ่อแม่ทุกวันเลย"
"อื้ม... ปีหนึ่งหนูต้องอยู่หอใน รอขึ้นปีสองหนูจะขับรถมหาวิทยาลัยแบบไปกลับเอา แม่ไม่ต้องกลัวเหงาน้า" เต็มดวงผู้สอบติดคณะวิทยาศาสตร์พูดขึ้นอีกคน เขารู้ว่าแม่เป็นคนแก่ขี้เหงา พี่ชายไปเรียนอยู่กรุงเทพหลายปีก็บ่นคิดถึงตลอด
"เจ้าดวง อย่ามาพูดมั่วซั่ว ข้าไม่ได้กลัวเหงา!"
จุดเริ่มต้นเรื่องราวของคุณหมอนวดวันจันทร์ก็มีที่มาด้วยเหตุนี้เอง...