2
หิรัญมองสาวน้อยที่กำลังตัวสั่นและกลัวเขาไม่วางตา นั่นสิเขาควรตอบคำถามของเธอว่าอย่างไรดีเพื่อไม่ให้เธอหาว่าเขากวน
“นั่นสิ อาก็อยากรู้ว่าจันทร์เจ้ามาอยู่บนเตียงของอาได้อย่างไรกัน” เขาใช้น้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่จันทร์เจ้าเผลอกัดปากตัวเอง ก่อนจะเบิกตากว้าง
“พี่ดินบอกว่าจะพามางานวันเกิดคุณอาค่ะ ดื่มน้ำเข้าไปแล้วก็ง่วงนอนน่ะค่ะ” เธอจำได้ว่ามึนๆ เบลอๆ หัสดินบอกว่าจะพาไปนอน ก่อนจะตื่นขึ้นมาแล้วเจอกับสภาพที่เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกับหิรัญ และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอสูญเสียพรหมจรรย์ให้เขาไปเรียบร้อยแล้ว จากอาการเจ็บบริเวณช่องคลอดเพียงแค่ขยับตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้จันทร์เจ้าหน้าแดงร้อนเห่อและทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย
“นั่นสิ” หิรัญครางออกมาด้วยความรู้สึกโมโหอยู่มาก น้ำเสียงและสีหน้าของเขาทำให้จันทร์เจ้าก้มงุดแทบจะทันที เธอคิดว่าเขากำลังโมโหเธออยู่
“ไปอาบน้ำเถอะ จะได้แต่งตัว” เป็นประโยคที่ทำให้ จันทร์เจ้าทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง เธอรีบดึงผ้าห่มที่คลุมกายมาห่อตัวก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อพาตัวเองลงจากเตียงแต่หิรัญรั้งผ้าห่มเอาไว้
“ผ้าห่มมีผืนเดียว ถ้าจันทร์เจ้าดึงเอาไปคนเดียว แล้วจะให้อาโป๊หรือยัง”
“เอ่อ...” สั่นสิ จันทร์เจ้าได้แต่ยืนอ้ำอึ้งอยู่ข้างเตียง มองร่างกายหมิ่นเหม่ของหิรัญแล้วหน้าแดง
“หรือเราควรจะอาบน้ำด้วยกันดี”
“จะดีเหรอคะ” จันทร์เจ้าถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ ใบหน้าของเธอเหลอหลาชวนตลกปนน่าเอ็นดูมากมายนักในความรู้สึกของหิรัญ
“ดีสิ สิ่งที่จันทร์เจ้าทำกับอา จันทร์เจ้าจะรับผิดชอบยังไงดี” หิรัญเอ่ยถามสาวน้อย เธอเพิ่งเรียนจบระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาคหกรรม ใช่แล้ว... ว่าที่หลานสะใภ้ของเขาเป็นคน นุ่มนิ่มอ่อนหวานและน่าจะหัวอ่อนเสียด้วยซ้ำ บิดามารดาของเธอเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ทำให้เธอต้องอาศัยอยู่กับผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้จอมงก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นความเป็นมาเป็นไปของเธอเพราะว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ได้สั่งเสียเอาไว้ก่อนตายว่าอย่างไรก็ต้องทำตามสัญญาให้หัสดินแต่งงานกับจันทร์เจ้าให้ได้ ครอบครัวของจันทร์เจ้าเองก็รับรู้ ดังนั้นขณะที่จันทร์เจ้ากำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้น พงศ์ศักดิ์กับวารีจึงมาหยิบยืมเงินทองจากเขาเพื่อส่งเสียให้ จันทร์เจ้าได้เรียนหนังสือหนังหาเป็นจำนวนมากโข โดยอ้างถึงความเดือดร้อนและภาระอันใหญ่โตที่ต้องเลี้ยงดูจันทร์เจ้าแทนบิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้จันทร์เจ้าเองไม่ได้รับรู้เพราะเขาเองก็แอบให้การช่วยเหลือเธอมาตลอด
“จันทร์เจ้าต้องรับผิดชอบอาหินเหรอคะ” เธอทำท่า ตกอกตกใจซ้ำๆ สีหน้าครุ่นคิดจนเขานึกเอ็นดูไม่น้อย
“ใช่”
“รับผิดชอบยังไงคะ” จันทร์เจ้ารู้ดีว่าเป็นคำถามชวนตลกขบขันถึงได้เห็นใบหน้าของหิรัญในตอนนี้กำลังกลั้นยิ้ม นั่นทำให้เธอเผลอค้อนใส่เขาเสียวงใหญ่
“อาเสียตัวให้จันทร์เจ้าแล้ว คิดว่าต้องรับผิดชอบยังไงล่ะ”
“จันทร์เจ้าเป็นผู้หญิง รับผิดชอบอาหินไม่ไหวหรอกค่ะ เงินทองก็ไม่มี” เธอกัดปากพูดอย่างพาซื่อ หิรัญเข้าใจว่าเด็กสาวนั้นถูกเลี้ยงดูมาแบบถูกกดให้ต่ำที่สุดในบ้าน เธอต้องทำงานทุกอย่างที่บ้านสวน เขาไปมาหาสู่กับครอบครัวของเธออยู่เสมอ ด้วยว่าเรื่องเงินทองที่ลุงกับป้าสะใภ้ของเธอมักมาหยิบยืมหรือโทร. มาขอความช่วยเหลือ จึงได้เห็นว่าเด็กสาวต้องทำงานงกๆ รับใช้ทุกคนในบ้านกว่าจะได้กินข้าวและไปเรียนหนังสือ เสื้อผ้าที่ใช้ก็เป็นมรดกตกทอดที่รัศมีแขโละให้จากตู้เสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว แต่ด้วยว่าจันทร์เจ้านั้นไม่ใช่คนเรื่องเยอะหรือปริปากบ่นอันใด ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำเพราะสำนึกในบุญคุณว่าลุงกับป้าสะใภ้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีปัญหาอะไรกับใครแม้แต่รัศมีแขพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธอที่มักเรียกใช้จันทร์เจ้าเหมือนคนรับใช้มากกว่าจะนับศักดิ์กันเป็นพี่น้อง
หลานชายของเขานั้นก็ไปมาหาสู่จันทร์เจ้าอยู่เสมอ ดูท่าทีรักใคร่เอ็นดูกันดี แต่เหตุไฉนเลยเรื่องราวถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ หิรัญยังงุนงงอยู่ไม่หาย
“รู้ไหมว่าขาอ่อนของอาน่ะ ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะได้เห็น” ประโยคของเขาทำให้จันทร์เจ้าเถียงกลับไปบ้างทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่ค่อยมีปากเสียงกับใครอยู่แล้ว