บทที่ 2
“เจ้านายครับ จะเอายังไงดีครับ วันนี้คุณลิซ่าคงไม่ยอมให้ผมขับรถให้เธอ”
รณกรคือลูกน้องที่ชาลิสากล่าวถึงและเกลียดหนักหนา เพราะชายหนุ่มทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าติดตามหญิงสาวตามคำสั่งของคิวา
คิวาพยักหน้ารับ จากการทะเลาะกันใหญ่โตเมื่อสักครู่ เขาก็พอจะรู้ว่าวันนี้ชาลิสาคงไม่ให้รณกรทำหน้าที่เป็นสารภีให้กับเธอเหมือนทุกวันที่ผ่านๆ มา และไม่ว่าน้องสาวจะสั่งห้ามมากเพียงใด เขาก็ยังคงให้รณกรคอยเฝ้าติดตามอยู่เหมือนเดิม
“วันนี้นายตามลิซ่าไปห่างๆ ก็แล้วกัน โทร.มารายงานเราด้วยว่าลิซ่าไปไหนบ้าง”
“ครับ เจ้านาย” รณกรรับคำ รู้ว่าชาลิสาคงไม่พอใจสักเท่าไร ถ้าหากเห็นเขาคอยติดตามไม่ห่าง
คิวาถอนหายใจยาว พลางลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้ากระเป๋าเอกสารแล้วเดินออกจากห้องอาหาร เกิดอาการลำคอตีบตันกินมื้อเช้าไม่ลงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับประทานเลยแม้แต่คำเดียว
และขณะเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ซึ่งน้องสาวกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อน ก็ต้องเผยความเสียใจให้เห็น เพราะชาลิสาลุกขึ้นเดินหนีในทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ลิซ่า สักวันน้องจะเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงเป็นห่วงน้องมาก” คิวาตีหน้าสลดขณะพึมพำไล่หลังน้องสาวที่เดินหนีเขาไปแล้ว
ชาลิสาไม่สนใจและไม่เข้าใจถึงความเป็นห่วงที่พี่ชายมีต่อเธอ หญิงสาวต้องการเป็นอิสระจากการเลี้ยงดูจากพี่ชาย ที่เลี้ยงเธอราวกับไข่ในหินก็ไม่ปาน
ตั้งแต่เข้าเรียนในชั้นอนุบาล มีคนขับรถคอยไปรับไปส่งเธอในทุกวัน แม้กระทั่งเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คิวาก็ยังให้รณกรไปรับไปส่งเธอ ไม่มีสักวันที่เธอจะขับรถไปเองได้ จนเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อเจ็ดเดือนที่ผ่านมา คิวาจึงอนุญาตให้เธอขับรถด้วยตัวเอง
และอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออาการโรคหัวใจกำเริบในขณะขับรถยนต์ ทำให้เธอหายใจไม่ออกเกิดอาการหมดสติ ควบคุมรถไม่ได้จนรถยนต์พุ่งตกคูน้ำ โชคดีที่มีพลเมืองดีเห็นเหตุการณ์และช่วยชีวิตไว้ได้ทัน อีกทั้งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเคราะห์ดีของเธอเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นคิวาก็สั่งห้ามไม่ให้เธอขับรถเองเป็นอันขาด
แต่ในวันนี้ชาลิสาจะขัดคำสั่งของพี่ชาย เธอจะขับรถและจะไปช้อปปิ้ง ไปกินข้าวมื้อเที่ยงกับเพื่อนๆ โดยไม่มีรณกรคอยตามเป็นบอดี้การ์ดเหมือนในทุกๆ วัน
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ชาลิสาก็ได้มาเดินเริงร่าอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ซึ่งเธอได้นัดเพื่อนๆ ร่วมแก๊งให้มาพบกันภายในร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
พอเดินเข้าไปในร้านอาหารตรงไปยังโต๊ะที่เพื่อนๆ นั่งรออยู่แล้ว ชาลิสาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะถูกเพื่อนๆ จ้องมองเขม็งแทบไม่กะพริบตาเลยทีเดียว
“มีอะไรหรือเปล่า บนหัวของฉันมีเขาหงอกขึ้นมาหรือยังไง พวกหล่อนถึงมองไม่กะพริบตา” ชาลิสาต่อว่าขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พลางกวาดสายตามองเพื่อนๆ แต่ละคนขณะรอคอยคำตอบ
“ก็วันนี้เธอมาแบบแปลกๆ ไม่มีพ่อแก่คอยเดินตามหลังมาด้วยยังไงละ”
น่านน้ำเอ่ยบอกเหตุผล พวกเธอเรียกรณกร คนที่ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของชาลิสาว่า ‘พ่อแก่’ เพราะอีกฝ่ายคอยติดตามเฝ้าดูชาลิสาไม่ต่างจากพ่อดูแลลูก ซึ่งชาลิสาไม่ได้ต้องการเช่นนั้นแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเพื่อนๆ พูดถึงเรื่องนี้ชาลิสาก็เบะปาก ตีสีหน้าหงุดหงิดโดยไม่ลืมระบายให้เพื่อนๆ ฟังด้วย
“ก็วันนี้ฉันทะเลาะกับพี่คิวา เขาจู้จี้จุกจิกกับชีวิตของฉันมากเกินไป ต้องบอกให้กินยาทุกเช้าทุกเย็น ห้ามนั่นห้ามนี่ โน้นก็ห้ามทำ นี่ก็ทำไม่ได้ จะไปไหนมาไหนก็ต้องให้รณกรขับรถให้ วันนี้ฉันทนไม่ไหวแล้วระเบิดก็เลยลงลูกใหญ่”
“หมายความว่าวันนี้เธอชนะใช่ไหม เพราะไม่มีพ่อแก่เดินตามมาด้วย” พรพรรณเอ่ยถามหลังจากฟังเพื่อนสาวระบายความโมโหออกมาชุดใหญ่
“ใช่ ฉันชนะ”
ชาลิสาพยักหน้ารับ พลางหยิบเมนูอาหารออกมาเปิดดู แต่ไม่ทันได้สั่งอาหารก็เจอคำถามที่เพื่อนอีกคนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เธอทำยังไงถึงเอาชนะพี่คิวาได้ ปกติฉันเห็นเธอตัวงอในทุกครั้งที่ถูกพี่คิวาออกคำสั่ง”
แม้ไม่พอใจกับคำถามที่อรุณีเอ่ยถามแทงใจดำ แต่ชาลิสาก็ตอบคำถามของเพื่อน เพราะเพื่อนสาวทั้งสามคนนี้คือคนที่คอยหนุนหลังเธอในทุกเรื่อง
“ฉันขู่ว่าถ้าหากไม่เลิกยุ่ง ไม่เลิกตีกรอบให้กับชีวิตของฉัน...ฉันจะเอายาทิ้ง ไม่กินยา ไม่ไปหาหมอ พี่คิวาจึงยอมให้ฉันขับรถมาคนเดียวโดยที่ไม่มีรณกรตามมาด้วย”
เพื่อนๆ ทั้งสามคนมองหน้ากันหลังจากได้ฟังคำตอบจากชาลิสา และเพราะนั่งหันหลังให้กับประตูทางเข้าร้านอาหาร ชาลิสาจึงไม่เห็นคนที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนาในตอนนี้
“เธอไม่ชนะซะทีเดียวหรอกลิซ่า โน่น! พ่อแก่เดินมาโน่นแล้ว”
อรุณีบุ้ยปากให้ชาลิสาหันไปมองทางด้านหลังของเธอ และเมื่อทำตามที่เพื่อนพยักพเยิดบอก ชาลิสาก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“บ้าชะมัด! สะบัดไม่หลุดสักที”
ชาลิสาถึงกับทิ้งเมนูลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ทำท่าจะผุดลุกขึ้นไปด่ารณกรซึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกร้านอาหาร แต่ก็ถูกเพื่อนๆ จับยึดต้นแขนไว้ซะก่อน