บทที่ 4 (2)
สารวัตรใหญ่ร้องอุทานออกมาด้วยความหวาดเสียวและเจ็บแทนองครักษ์เอกคาฟาล ซึ่งไม่ต้องบรรยายเป็นถ้อยคำก็พอจะคาดเดาได้ว่าจุกเสียดจนหน้าดำหน้าแดงแทบล้มทั้งยืนเลยก็ว่าได้
พอเป็นอิสระจากการพันธนาการอันแข็งแกร่งแล้ว บุญธิสาก็วิ่งพุ่งพรวดมาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับละล่ำ
ละลักเอ่ยบอกรัวเร็ว โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเธอร้องขอความช่วยเหลือไปในก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าทั้งสารวัตรใหญ่และนายตำรวจคนอื่นไม่มีใครคิดช่วยเหลือเธอเลย
“คุณตำรวจคะ ช่วยฉันด้วย ไอ้โรคจิตคนนี้มันจะข่มขืนฉันค่ะ”
“ข่มขืนบ้าอะไรเล่า ผมมาประกันตัวคุณต่างหากล่ะ”
องครักษ์เอกคาฟาลตะโกนสวนกลับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง ฝีมือตีเข่าของบุญธิสาทำเอาเขาเจ็บจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว ไม่นึกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างบุญธิสาจะมีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้
“อะไรนะ เมื่อสักครู่คุณพูดว่ายังไงนะ”
บุญธิสาหันขวับเอ่ยถามเสียงแข็ง พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายยังคงแดงก่ำเหยเกเพราะความเจ็บปวดจากผลงานของเธอก็หัวเราะคิกด้วยความสะใจ ก่อนจะย้ำความเจ็บปวดด้วยการเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย
“เป็นยังไงบ้างไอ้โรคจิต ชอบท่าแม่ไม้มวยไทยที่ฉันมอบให้ไหมคะ ท่าเมื่อสักครู่เขาเรียกว่าท่าเข่าตรง เป็น 1 ใน11 ท่าของท่าเชิงเข่า 11 เชิง”
‘คำก็ไอ้โรคจิต สองคำก็ไอ้โรคจิต เดี๋ยวพ่อจับปล้ำทำเมียซะหรอก’
องครักษ์เอกคาฟาลงึมงำอยู่ในใจโดยไม่พูดออกมา คงมีแค่เพียงดวงตาคมกริบเท่านั้น ที่ทอดมองบุญธิสาอย่างหมายมาด
“นี่คุณ! ห้ามด่าฉันในใจนะ” หญิงสาวชี้นิ้วตวาดต่อว่าอีกฝ่ายอีกครั้ง แทบเต้นผ่าง! ด้วยความโมโห เมื่ออ่านสายตาของบุรุษผู้นี้ออก
“รู้ได้ไงว่าผมกำลังด่าคุณอยู่”
ขณะเอ่ยถามกลับคืนอย่างเอาเรื่อง องครักษ์เอกคาฟาลก็สืบเท้าช้าๆ ทว่ามั่นคงมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ร่างบางระหงของบุญธิสา
ส่วนแม่สาวนักตีเข่า พอเห็นคู่กรณีเดินเข้ามาใกล้ก็นึกหวาดกลัวว่าจะถูกคลุกวงในอีก จึงกระโดดโหยงไม่ต่างจากกบ หลบไปอยู่ข้างหลังสารวัตรใหญ่ แล้วโผล่แค่ใบหน้างามๆ ออกมาขณะเค้นเสียงโต้ตอบบุรุษผู้หล่อเหลา ที่เธอยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม และยังไม่รู้ว่าเขาคือใครกัน
“ก็สายตาของคุณมันฟ้องนี่ว่ากำลังด่าฉันอยู่”
องครักษ์เอกคาฟาลกระตุกยิ้ม พลางสัพยอกกลั้วหัวเราะ “แหม! เจอกันแค่ไม่กี่นาที ก็เดาใจผมออกไปเสียทุกอย่าง สงสัยเราสองคนเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกันตั้งแต่ชาติปางก่อนแน่ ไหนๆ ก็เดาใจผมถูกไปรอบหนึ่งแล้ว คุณช่วยตอบหน่อยสิครับว่าตอนนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่”
แทนที่จะหลบตาคมกล้าขององครักษ์เอกผู้เก่งกาจ บุญธิสากลับบ้าจี้ทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย โดยการทอด
สายตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง พอพานพบกระแสบางอย่างซึ่งชายชาตินักรบผู้นี้เผยให้เห็น หญิงสาวก็ถึงกับร้อนวูบวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ใบหน้างามแดงซ่านไม่ต่างจากลูกเชอรี่สุก จากนั้นก็รีบผลุบหน้าเข้ามาอยู่ข้างหลังสารวัตรใหญ่ โดยไม่เอ่ยตอบอะไรออกมา จนองครักษ์เอกคาฟาลต้องทวงถามอีกครั้ง
“ว่าไงไข่ตุ๋น คุณเห็นอะไรในดวงตาของผม ช่วยตอบดังๆ ให้ผมชื่นใจหน่อยสิครับ”
“เห็นขี้ตาเต็มสองตาเลยค่ะ”
บุญธิสาตะโกนตอบเสียงดัง เรียกเสียงหัวเราะร่วนได้จากทั้งตัวคนถามเองและจากสารวัตรใหญ่ ซึ่งตอนนี้ถูกบุญธิสายึดไว้เป็นโล่กำบังภัยไปซะแล้ว
หลังจากปล่อยให้องครักษ์เอกของประมุขแห่งแผ่นดิน และสาวน้อยนักพนันทะเลาะกันมานานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สารวัตรใหญ่คิดว่าคืนนี้ตนเองและลูกน้องทั้งโรงพักคงไม่ได้ทำงานอื่นแน่ นอก
จากการทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวย สารวัตรใหญ่ผู้ผดุงความยุติธรรม จึงออกปากเอ่ยถามองครักษ์เอกคาฟาลว่าจะประกันตัวบุญธิสาในคืนนี้เลยหรือเปล่า
“เอ่อ...ท่านคาฟาลครับ ผมว่าหยุดกัด เอ้ย! หยุดทะเลาะกันก่อนดีไหมครับ ผมจะได้ให้ลูกน้องทำเรื่องประกันตัวคุณผู้หญิงคนนี้ออกไปนะครับ”
องครักษ์เอกคาฟาลถลึงตามองสารวัตรใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายจัดการตามที่พูดออกมา
“ทำเรื่องได้เลย เดี๋ยวเราจะได้พาไข่ตุ๋นกลับบ้านสักที”
“นี่ๆ เดี๋ยวก่อนสิ ใครจะมาประกันตัวใคร แล้วนายเป็นใคร มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน จู่ๆ จะให้ฉันไปกับคนแปลกหน้า ปากจัดกัดไม่เลือก แถมยังเป็นพวกโรคจิตพ่วงท้ายมาด้วย ยังไงๆ ฉันก็ไม่ยอมไปด้วยหรอก”
บุญธิสาต่อว่าใส่ไคล้องครักษ์หนุ่มเสียชุดใหญ่ และขณะต่อว่าอีกฝ่ายฉอดๆ แทบไม่ได้หยุดหายใจ หญิงสาวก็โผล่หน้ามาจากร่างใหญ่โตของสารวัตรแค่เพียงนิดเดียว พอแค่ให้เห็นว่าบุรุษชายชาตินักรบผู้นี้กำลังแยกเขี้ยวใส่เธอเพราะความโมโหไม่แพ้กัน
สารวัตรใหญ่เห็นองครักษ์เอกคาฟาลกำลังอ้าปากจะโต้ตอบ ซึ่งรู้ว่าคงไม่พ้นการพ่นวาจาออกมาทะเลาะกับหญิงสาวผู้นี้อีก จึงรีบเอ่ยดักคอองครักษ์ผู้องอาจไว้ซะก่อน
“ท่านองครักษ์ครับ ผมว่าแนะนำตัวให้คุณผู้หญิงคนนี้รู้จักดีไหมครับ”
“ใครเป็นองครักษ์?”
บุญธิสาถามแทรกออกมาก่อนองครักษ์เอกคาฟาลจะทันได้แนะนำตัว พอมองไปยังบุรุษหนุ่มหล่อเหลาซึ่งยังคงตีหน้ายักษ์ใส่เธอไม่เลิก ก็เอ่ยถามต่ออย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร
“อย่าบอกนะว่า ไอ้โรคจิตคนนี้มียศสูงศักดิ์เป็นถึงองครักษ์”
“เออ...ไอ้โรคจิตคนนี้นี่แหละเป็นองครักษ์เอกของท่านชีคฮาริค เจ้าผู้ปกครองประเทศที่คุณกำลังยืนอยู่”
องครักษ์เอกคาฟาลแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงห้วนอยู่ไม่น้อย เพราะโมโหจับใจที่บุญธิสาเรียกเขาว่าไอ้โรคจิตแทบตลอดเวลาที่ทะเลาะ และขณะเอ่ยแนะนำตัว ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ก็ก้าวเท้ายาวๆ ไม่กี่ก้าวเดินไปจับยึดข้อมือเล็กของบุญธิสาไว้แน่น แล้วดึงร่างบางระหงให้ขยับออกมาจากการหลบซ่อนอยู่ข้างหลังเรือนกายของสารวัตรใหญ่ ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที
“ผมชื่อคาฟาล อัสซิส มาซีน ผมได้รับคำสั่งจากท่านชีคฮาริคให้มาประกันตัวคุณออกไป”
“ชื่อ นามสกุลยาวชะมัด คาฟาล อัสซิส มาซีน ชื่อสั้นๆ กว่านี้ไม่มีหรือยังไง เช่นนายเฉิ่ม นายเชย นายกระจอก หรืออะไรก็ได้ที่สั้นๆ กว่าชื่อของคุณในตอนนี้”
บุญธิสาเอ่ยแขวะตามประสาคนปากมาก และแทนที่องครักษ์เอกคาฟาลจะโกรธเคือง เขากลับหัวเราะร่วนกับชื่อเชยๆ ที่หญิงสาวเอ่ยออกมาให้เขาเลือกใช้
“เรียกผมว่าคาฟาลก็ได้ไข่ตุ๋น คุณไม่จำเป็นต้องเรียกผมทั้งชื่อทั้งนามสกุลก็ได้”
องครักษ์เอกคาฟาลเอ่ยบอกยิ้มๆ แต่พอได้ยินชื่อที่หลุดออกมาจากเรียวปากอิ่ม ก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขำระคนระอาหญิงสาวจอมดื้อด้าน
“อืม...ถ้างั้นขอเรียกนายเฉิ่มได้ไหม”
ในขณะที่องครักษ์เอกคาฟาลอนุญาตให้เรียกชื่อต้นของตนเองได้ แต่บุญธิสาก็ลอยหน้าลอยตาเรียกในชื่อที่พอใจอยากเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้
องครักษ์เอกคาฟาลส่ายหน้าช้าๆ ราวกับระอา ดูท่าว่าบุญธิสาจะแสบและดื้อรั้นไม่เบา องครักษ์หนุ่มลดใบหน้าลงต่ำจนจมูกโด่งสัมผัสหนักหน่วงกับพวงแก้มแดงปลั่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อรองอย่างเจ้าเล่ห์แพรวพราว
“ตกลงไข่ตุ๋น ผมให้คุณเรียกผมว่านายเฉิ่มก็ได้ แต่คราวใดที่ผมได้ยินชื่อนี้ ผมจะปรับคุณคำละจูบ ตกลงตามนี้ไหมล่ะไข่ตุ๋น”
“ตกลงให้โง่นะสิ”
บุญธิสาค้อนวงใหญ่พร้อมกับงึมงำตอบอยู่ในลำคอ ใบหน้างามนั้นแดงซ่าน ร้อนผะผ่าวไปทั้งตัว และแทนที่หัวสมองจะสั่งการให้เจ้าตัวขัดขืนปัดป้อง หรือผลักไสคนตัวใหญ่ให้ปล่อยเธอสักที แต่นี่กลับสั่งการให้เธอยืนนิ่งๆ ปล่อยให้องครักษ์ผู้นี้โอบกอดตามอำเภอใจ จนเธองุนงงไปหมดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอ
“เมื่อสักครู่คุณบอกว่าท่านชีคฮาริคให้มาประกันตัวฉัน แล้วท่านชีคและคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย ฉันไม่เคยรู้จักคุณหรือท่านชีคเลยนะคะ”
บุญธิสาเอ่ยถามในสิ่งที่ทำให้ตนเองงุนงงเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ได้ยินชายชาตินักรบผู้นี้แนะนำตัวว่าเขาคือใคร แต่ด้วยอยากแก้เผ็ดอีกฝ่ายกลับคืนบ้าง หญิงสาวเลยไม่ได้เอ่ยถามตั้งแต่แรก
“อืม...เอาไงดีล่ะ เรื่องมันซับซ้อนมากเลยนะไข่ตุ๋น”
องครักษ์เอกคาฟาลแกล้งถ่วงเวลาไว้ เพื่อให้หัวสมองอันชาญฉลาดคิดแต่งนิทานหลอกเด็ก หลอกให้บุญธิสาฟังแล้วรู้สึกระรื่นหูเป็นที่สุด
ส่วนบุญธิสาเองก็จ้องมององครักษ์ผู้องอาจเขม็ง พลางยกมือเท้าสะเอวเอ่ยตอบเสียงเข้ม กะว่าหากไม่ล่วงรู้ความจริงหรือความเป็นไปเป็นมาของเรื่องนี้ เธอก็ไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกับบุรุษผู้นี้เป็นอันขาด
“ไม่เป็นไรค่ะ จะสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากเพียงใด ฉันก็มีเวลาฟังทั้งคืนนั่นแหละค่ะ”
“เอ่อ...คือ...พี่สาวของคุณเผอิญรู้จักกับท่านชีคฮาริคเป็นการส่วนตัว”
“พี่ไข่หวานนี่นะรู้จักท่านชีคฮาริค เจ้าผู้ปกครองประเทศ ฉันไม่เชื่อหรอก คุณอย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก”
บุญธิสาเอ่ยสวนออกไปทั้งๆ ที่องครักษ์เอกคาฟาลเอ่ยโกหกไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำไป และหญิงสาวก็ถูกองครักษ์หนุ่มขึงตามองอย่างตำหนิ โดยไม่ลืมกล่าวออกมาเป็นถ้อยวาจาด้วย
“อย่าเพิ่งพูดแทรกได้ไหมไข่ตุ๋น ฟังผมพูดให้จบก่อนได้ไหมครับ”
บุญธิสาตีหน้าง้ำไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อถูกชายแปลกหน้าซึ่งเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสิบนาทีเอ่ยตำหนิเอา และใช่ว่าจะปล่อยให้องครักษ์ผู้องอาจคนนี้ตำหนิเธอแค่เพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวถลึงตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนจะสวนกลับแบบทันควันไม่ให้น้อยหน้ากัน
“ก็มันจริงนี่ คุณบอกว่าพี่ไข่หวานรู้จักกับท่านชีคฮาริค ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย สังคมของฉันกับพี่ไข่หวาน มันคนละสังคมกันกับท่านชีคฮาริค พระองค์อยู่สูงเสียดฟ้า แต่พวกฉันอยู่ต่ำติดดินไม่ต่างจากยอดหญ้า ซึ่งไม่มีทางที่พี่ไข่หวานจะรู้จักเป็นการส่วนตัวกับท่านชีคฮาริค หรือถ้าหากรู้จักจริง ฉันก็ต้องรู้เรื่องนี้ด้วยสิ เพราะว่าฉันกับพี่ไข่หวานไม่เคยมีความลับต่อกันแม้แต่เรื่องเดียว”
‘อุวะ! หลอกยากชะมัด’
องครักษ์เอกคาฟาลสบถอยู่ในลำคอ พลางเริ่มแต่งเรื่องใหม่อีกครั้ง เพราะขืนให้บอกไปตามตรงว่าตอนนี้พี่สาวของเธอกำลังถูกเลือกให้เป็นซินเดอเรลล่าอยู่กับท่านชีคฮาริคตลอดทั้งค่ำคืน เพื่อแลกกับเงินจำนวนห้าล้าน เขาเชื่อว่าบุญธิสาคงได้โวยวายโรงพักแตกแน่!
“ฟังให้ดีนะไข่ตุ๋น คือพี่สาวของคุณไปทำงานในตำหนักของท่านชีคฮาริค เผลอท่านชีคเข้าไปยินเรื่องของคุณเข้า พระองค์ก็เลยเกิดพระเมตตาสั่งให้ผมมาประกันตัวคุณออกไปครับ”
“จริงนะ?”
บุญธิสาหรี่ดวงตาจ้องมองราวกับไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรนัก และองครักษ์เอกคาฟาลก็ตอบรับคำซะเสียงสูง
“จริ๊ง...ที่สุด”
เอ่ยตอบไปแล้ว องครักษ์เอกคาฟาลก็ซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพยักพเยิดให้บุญธิสาไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะของร้อยเวร เพื่อทำเรื่องประกันตัวเธอออกไปสักที
“ไปทำเรื่องประกันตัวเถอะครับ ดึกมากแล้ว ผมอยากกลับไปพักผ่อนแล้ว”
“เอ่อ...ฉันไม่ค่อยเชื่อ...”
เมื่อบุญธิสาอึกอักลังเลอย่างเห็นได้ชัด คนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างองครักษ์เอกคาฟาลก็รีบเอ่ยออกมาให้บุญธิสาได้ขบคิดตาม
“โอเค! ถ้าคุณไม่เชื่อ ไม่ไว้ใจผมก็ไม่เป็นไร ถ้างั้นคืนนี้เชิญคุณนอนในคุกต่อก็แล้วกันนะครับ ผมคิดว่าสายๆ พี่สาวคุณก็คงมาประกันตัวคุณออกไป แต่อย่างว่านะครับ ไม่ค่อยมีเส้นมีสายเหมือนผม อาจต้องเดินเรื่องประกันตัวยากหน่อยนะครับ และที่สำคัญผมสงสารผิวขาวจั๊วะเนียนผ่องของคุณจริงๆ สงสัยว่าคืนนี้คงได้นอนบริจาคเลือดทั้งคืน ยุงตัวใหญ่ๆ ที่วินว่อนทั่วโรงพักคงได้อิ่มหมีพีมันก็คราวนี้นี่แหละ”
พอเอ่ยขู่ขวัญให้บุญธิสานึกหวาดกลัวตามแล้ว องครักษ์เอกคาฟาลก็ลอบยิ้มแล้วหมุนตัวทำท่าจะเดินลงไปจากสถานีตำรวจ หากไม่ถูกบุญธิสาตะโกนเรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสินายเฉิ่ม”
เจ้าของใบหน้างามตะโกนเรียกพร้อมกับวิ่งตามไปจับต้นแขนแข็งแกร่งขององครักษ์เอกคาฟาลไว้อย่างลืมตัว และแทนที่อีกฝ่ายจะหยุดเดินหันมามองตามเสียงเรียก กลับทำเป็นเล่นตัวก้าวเท้าเดินต่อจนบุญธิสาต้องรีบวิ่งไปดักหน้า พร้อมกับขึงตาเขียวปั้ดใส่ ขณะยอมตกลงทำตามที่อีกฝ่ายบอกมา
“ตกลง ฉันยอมให้คุณช่วยประกันตัวก็ได้ นายเฉิ่ม”
“คาฟาล” องครักษ์เอกคาฟาลถลึงตามอง บังคับให้บุญธิสาเรียกชื่อของตน แทนชื่อที่เธอตั้งให้สุดเฉิ่มสุดเชย
“ไม่! นายเฉิ่ม” บุญธิสาดื้อดึงอยากเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อนี้เท่านั้น
และเมื่อเจ้าของใบหน้างามไม่ยอมทำตาม องครักษ์เอกคาฟาลก็แสร้งทำเป็นก้าวเดินต่อ โดยไม่ลืมกล่าวเอ่ยพรส่งท้ายด้วย
“ถ้างั้นก็บ๊าย บาย ขอให้มีความสุขกับการอยู่บริจาคเลือดในซังเตนะไข่ตุ๋น”
“ก็ได้ๆ รบกวนคุณคาฟาลช่วยประกันตัวดิฉันหน่อยได้ไหมคะ” บุญธิสายอมทำตามคำสั่งขององครักษ์หนุ่มในที่สุด
องครักษ์เอกคาฟาลกระตุกยิ้ม พร้อมกับโอบแขนไปรอบบ่าเล็ก แล้วขโมยจูบลงไปบนเรียวปากอิ่มสีกุหลาบอย่างรวดเร็วเกินกว่าผู้เป็นเจ้าของจะห้ามปรามได้ทัน
“อืม...แบบนี้ค่อยฟังระรื่นหูหน่อย แต่ถ้าให้ดีต้องแทนตัวเองว่าไข่ตุ๋นด้วยนะที่รัก”