บทที่ 1 (1)
The Blue House...
คฤหาสน์สีน้ำเงินหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ กินพื้นที่หลายสิบไร่ หากเดินออกมายืนอยู่ด้านนอกระเบียงโล่งของคฤหาสน์หรูสวยงาม จะสามารถสดับรับฟังได้ถึงเสียงดนตรีอันแสนเสนาะหู อันเกิดจากเสียงคลื่นทะเลสีครามที่ซาซัดโถมกระหน่ำกระทบกับโขดหิน ก่อเกิดเป็นจังหวะดนตรีที่บรรเลงโดยนักดนตรีที่เรียกว่าธรรมชาติ อันแสนไพเราะยิ่งนัก อีกทั้งกลิ่นอายของความเค็มของพื้นน้ำสีครามที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ที่ได้ลอยละล่องมาตามกระแสคลื่นลม ที่โบกพัดเอื่อยๆ ช่วยทำให้ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หรู มูลค่าหลายร้อยล้าน รู้สึกผ่อนคลายความเหนื่อยล้า หลังจากตรากตรำทำงานหนัก ตั้งแต่ตะวันสาดส่องจวบจนกระทั่งพระสุริยากำลังจะลาลับขอบฟ้าไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เดอะ บลู เฮ้าส์ เป็นคฤหาสน์หรูของนักธุรกิจหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองลองไอแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในส่วนตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาในรัฐนิวยอร์ก คฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่าหลังงามหลังนี้ เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องออกกำลังกายขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำส่วนตัว ห้องเก็บไวน์รสเลิศราคาแพง
เรนย์ เจรามี่ หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกันกับน้ำทะเล ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา กระชากใจสาวๆ ซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ เพิ่งกลับเข้าคฤหาสน์ก่อนที่ตะวันจะชิงพลบไม่กี่นาที ได้ทรุดกายลงนั่งเอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ราคาแพง ทอดดวงตาสีฟ้าใสไปยังท้องทะเลสีคราม ที่พราวระยับเมื่อต้องกับลำแสงสีทองของพระสุริยา เขาชอบที่จะนั่งพักสมอง ตากลมเย็นๆ อยู่ที่ระเบียงนอกคฤหาสน์ นอกจากจะได้นั่งชมวิวของท้องทะเลสีครามไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว เขายังชอบที่จะมานั่งฟังเสียงคลื่นซาซัดกระทบฝั่งด้วย
เอ็ดเวิร์ด มาร์ติน พ่อบ้านวัยห้าสิบปีตอนปลาย ซึ่งอยู่รับใช้เจ้านายหนุ่มมาช้านาน ได้เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ กายล่ำสันของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ พร้อมกับเอามือประสานกันอยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยถามเจ้านายด้วยกริยาสุภาพ อย่างผู้ที่รับการฝึกฝนให้ทำหน้าที่รับใช้เจ้านายมาอย่างดี
“คุณเรนย์ครับ จะรับบรั่นดีสักแก้วไหมครับ”
“สักแก้วก็ดีเหมือนกันนะเอ็ดเวิร์ด แต่ผมขอเป็นแบบออนเดอะร็อคแทนก็แล้วกัน”
เรนย์หันไปบอก พร้อมกับยิ้มบางๆ ให้ผู้ที่เป็นพ่อบ้าน ซึ่งนอกจะคอยดูแลเรื่องความเรียบร้อยภายในคฤหาสน์หรูหลังใหญ่โตแล้ว ยังคอยอยู่รับใช้เขาแทบจะตลอด
เวลาด้วย
“เดี๋ยวผมจะจัดการให้ครับ คุณเรนย์รอสักครู่นะครับ”
พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดโค้งคำนับรับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกจากบริเวณที่เจ้านายได้นั่งชมวิว ไปหาเครื่องดื่มเย็นๆ มาเสิร์ฟให้เจ้านายได้จิบเพื่อคลายความอ่อนล้า
เรนย์นั่งทอดสายตามองผืนน้ำทะเลสีครามด้วยความสบายใจ และเมื่อดวงตาสีฟ้าได้มองปะทะกับเรือยอร์ชลำใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่ามีชื่อของเขาเป็นเจ้าของเรือยอร์ชลำนี้ ซึ่งได้ทอดสมอลอยลำอยู่บนผืนน้ำตรงบริเวณท่าเรือ อันยังอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นอาณาจักรของเขา ก็พลอยทำให้นึกถึงเพื่อนรัก เพื่อนตาย ที่ไม่ได้พบกันมานานถึงสองปีเต็ม
และเมื่อได้คิดถึงเพื่อนรักนั่นก็คือ กัปตันบารอน ดี ทีสต์ หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เจ้าของบริษัทเดินเรือ The Royal Adamas Group ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจยาว นึกเป็นห่วงว่ากัปตันบารอนจะเป็นเช่นไรบ้าง ด้วยครั้งสุดท้ายที่พบเจอกันนั้น อีกฝ่ายกำลังอยู่ในข่ายที่เรียกว่าโดนพิษรักเล่นงานจนอ่วมอรทัย เพราะหลงรักแม่สาวน้อยนันท์นลินที่หลงขึ้นมาในเรือของตนเองจับใจ แต่ดันปากแข็งไม่ยอมบอกสาวเจ้า สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้นันท์นลินหลุดมือไปทั้งๆ ที่รักเธอทุกลมหายใจ
“สองปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน นายจะเป็นยังไงบ้างนะบารอน”
เรนย์พึมพำออกมาเบาๆ ระยะเวลาสองปี เขามีงานยุ่งๆ รุมเร้ารัดรอบตัวจนแทบไม่มีเวลาหายใจ แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยขาดการติดต่อสื่อสารกับกัปตันบารอน เขาโทรติดต่อหาอีกฝ่ายเสมอ และกัปตันบารอนเอง ก็ติดต่อหาเขาเช่นเดียวกัน ในการติดต่อหากันแต่ละครั้ง กัปตันหนุ่มจะบอกแค่เพียงว่ากำลังเดินทางส่งสินค้าอยู่รอบโลก และบอกแค่เพียงว่าเขาสบายดี และเมื่อเขาถามว่าเมื่อไรจะกลับประเทศไทย อีกฝ่ายกลับวางสายเสียดื้อๆ ซึ่งเขารู้ว่าที่กัปตันบารอนไม่ตอบคำถามนี้ ก็เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่อยากกลับประเทศไทย อันเป็นถิ่นที่พำนักของนันท์นลินคนที่กัปตันบารอนรักสุดหัวใจนั่นเอง
“เจ้านายครับ บรั่นดีได้แล้วครับ”
พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ด กลับมาอีกครั้งพร้อมกับบรั่นดีรสนุ่มคอ ที่นอนนิ่งอยู่ในแก้วทรงสวยแบบออนเดอะร็อค พอยื่นไปให้ผู้เป็นเจ้านาย อีกฝ่ายก็รับไปจิบช้าๆ ให้บรั่นดีค่อยๆ ไหลลงสู่ลำคออย่างละเมียดละไม
“วันนี้พระอาทิตย์ตกดินสวยชะมัดเลย นายว่าไหมเอ็ดเวิร์ด”
เรนย์เอ่ยกับพ่อบ้านวัยดึก ทั้งๆ ที่ไม่ได้หันมามองอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้ายังคงทอดมองพระอาทิตย์กลมโต ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ถูกท้องทะเลสีครามโลมเลียที่ละนิดทีละน้อยจนลับหายไปจากสายตา ปล่อยให้แสงนวลของดวงจันทราค่อยๆ สาดส่องให้ความสว่างไสวเข้ามาแทนที่
พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ด ผู้ที่ทำหน้าที่พ่อบ้านของตนเองได้ดีไม่มีที่ติ ได้ค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับไม่ได้เพลิดเพลินสำราญใจเฉกเช่นผู้เป็นเจ้านาย ที่ได้นั่งจิบบรั่นดีเคล้ากับบรรยากาศอันแสนรื่นรมย์ในยามพลบค่ำ
“พระอาทิตย์ตกดิน น่าจะสวยกว่านี้นะครับ หากเจ้านายมีนายผู้หญิงมานั่งชมพระอาทิตย์ข้างๆ กายของเจ้านายด้วย”
ผู้เป็นเจ้านายได้หันมาจ้องมองพ่อบ้านวัยดึกเขม็ง เมื่อได้ยินคำพูดเป็นนัยของอีกฝ่าย ซึ่งมาแปลกกว่าทุกๆ วัน ที่จู่ๆ พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดก็เอ่ยพูดถึงเนื้อคู่ตุนาหงันของเขา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงเลย
“เอ็ดเวิร์ด นึกยังไงถึงได้พูดถึงเรื่องนายผู้หญิง นายก็รู้นี่ว่าเรามีภาระหน้าที่ต้องทำมากมาย อย่าว่าแต่หานายหญิงให้เจ้าเลย แม้แต่เวลาหาความสุขส่วนตัว ให้บรรดาสาวๆ มานวดคลายเมื่อย เรายังไม่มีเวลาเลย แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปหานายหญิงให้กับพวกเจ้ากันล่ะ”
เรนย์ต่อว่าพ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ซึ่งจะว่าไปแล้วความคิดที่จะหานายหญิงให้มาเดินเฉิดฉาย อยู่ในคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาเลย ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังไม่เจอสาวๆ ที่ถูกใจมากพอที่จะทำให้เขาหลงรักได้ หรือว่านายหญิงแห่งคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ ยังไม่เกิดกันแน่
พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดรับแก้วเปล่ามาจากผู้เป็นนาย ก่อนจะชงบรั่นดีแบบเดิมให้เจ้านายหนุ่มอีกแก้ว แล้วเอ่ยค้านออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามบุคลิกของตนเอง
“ไม่มีเวลา...ก็ต้องทำให้มีสิครับคุณเรนย์ บรรดาเพื่อนๆ ของคุณเรนย์ทั้งเพื่อนหญิงเพื่อนชาย ต่างก็ออกเรือนมีครอบครัว มีลูกหนึ่งลูกสอง บางคนมีลูกเกือบครึ่งโหลด้วยซ้ำไป มีแต่คุณเรนย์คนเดียวที่ยังครองความเป็นโสดอย่างเหนี่ยวแน่น ไม่ยอมหานายผู้หญิงให้มาอยู่ที่คฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ สักที ผมอยากเห็นคุณหนูตัวน้อยๆ แล้วนะครับ”
“บ่นเป็นตาเฒ่าเลยนะเอ็ดเวิร์ด”
เรนย์สัพยอกพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ได้นึกโกรธอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้ดีว่าพ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดได้พูดออกมาด้วยความหวังดี ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นจริงดั่งที่พ่อบ้านวัยดึกได้พูดออกมา บรรดาเพื่อนๆ ของเขาต่างก็มีครอบ