บทที่ 2
บทที่ 2
งานเลี้ยงต้อนรับการกลับบ้านของเอริณ ถูกจัดอย่างใหญ่โตหรูหรา อรสุดาและปวินทร์ลงทุนจ้างออแกไนเซอร์ให้มาจัดสถานที่จัดงานเลี้ยง ส่วนอาหารและเครื่องดื่มก็สั่งตรงจากโรงแรมหรูห้าดาวในกรุงเทพฯ งานเลี้ยงในคืนนี้ต้องเริดและหรู นี่คือคำสั่งตรงของเอริณที่โทร.สั่งบิดามารดาก่อนบินมาถึงประเทศไทย
เอริณเดินทางมาถึงบ้านตั้งแต่ช่วงบ่ายและกำลังวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัว แน่นอนว่าหญิงสาวจ้างช่างแต่งหน้าชื่อดังให้มาประทินโฉมให้สวยงามดุจนางพญา
ในขณะลูกสาวแท้ๆ ของเจ้าของคฤหาสน์กำลังแต่งตัวเตรียมปรากฏโฉมในงานเลี้ยง ทางด้านของลูกบุญธรรมก็ทำงานมือเป็นระวิง แม้อรสุดาจะสั่งอาหารมาจากโรงแรม กระนั้นนลินดาและคนรับใช้คนอื่นๆ ก็ต้องช่วยจัดเตรียมอาหารอยู่ดี
และขณะกำลังจัดเตรียมแก้วไวน์อยู่กับคนรับใช้อีกคนในห้องครัว ป้ากาญซึ่งเป็นแม่บ้านก็เดินเข้ามาเห็นพร้อมกับเอ่ยทักว่า
“หนูนลิน งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วยังไม่ไปแต่งตัวอีกหรือคะ”
นลินดาอมยิ้มเศร้าๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “นลินไม่ออกไปร่วมงานหรอกค่ะป้า นลินต้องอยู่ช่วยทุกคนในห้องครัวค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นป้ากาญถึงกับถอนหายใจยาวจ้องมองนลินดาด้วยความสงสาร “เป็นคำสั่งของคุณแม่ ที่ไม่ให้ออกไปจากห้องครัวใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ป้ากาญ คุณผู้หญิงห้ามไม่ให้ออกไปค่ะ”
ขณะรับคำ นลินดาก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย หญิงสาวหยิบแก้วไวน์มาวางเรียงกันนับสิบๆ ใบ ก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อหลบสายตาไม่ให้ป้ากาญเห็นดวงตาอันหมองเศร้าของตนเอง
ป้ากาญขมวดคิ้วเข้ากันสะดุดหูกับคำพูดบางคำของหญิงสาวจึงเอ่ยถามออกไปว่า
“ตะกี้นลินเรียกคุณแม่ว่า ‘คุณผู้หญิง’ หรือจ๊ะ”
“ค่ะ ป้า” นลินดารับคำ กำลังจะหมุนตัวไปหยิบแก้วอีกใบ แต่ก็ถูกป้ากาญจับยึดข้อมือไว้
“ทำไมนลินเรียกคุณแม่แบบนั้น” ป้ากาญเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไม่เคยได้ยินนลินดาเรียกมารดาบุญธรรมเช่นนี้มาก่อน
คงปิดบังความจริงกับป้ากาญไม่ได้ นลินดาจึงจำต้องเอ่ยบอกความจริงในที่สุด
“คุณผู้หญิงสั่งให้นลินเรียกแบบนี้ค่ะ และห้ามออกไปร่วมงานเลี้ยง ห้ามบอกว่าเป็นลูกบุญธรรมของท่าน คุณผู้หญิงสั่งว่าถ้ามีใครถามให้บอกว่าเป็นลูกของป้ากาญค่ะ...”
น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นเครืออย่างหักห้ามเอาไว้ไม่อยู่ สร้างความสงสารให้เกิดขึ้นกับป้ากาญจนต้องโอบกอดร่างบางไว้แน่น
“โธ่...นลินของป้า”
ป้ากาญกอดร่างบางที่กำลังสะอื้นร้องไห้ไว้ด้วยความสงสารจับใจ มือใหญ่ยกขึ้นลูบไปบนศีรษะกลมทุยพร้อมกับเอ่ยปลอบไปด้วย
“อย่าร้องไห้เลยนลิน เขาไม่ให้เรียกว่าแม่ก็ไม่ต้องไปเรียก”
นลินดาเงยใบหน้านองด้วยน้ำตามองป้ากาญ พลางกระซิบบอกความในใจที่ตนขบคิดไว้นานแล้ว
“ป้าคะ นลินอยากย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ป้าช่วยพูดกับคุณผู้หญิงให้นลินได้ไหมคะ”
คนที่ถูกขอร้องลอบถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เพราะเดาได้ว่าอรสุดาไม่มีทางปล่อยนลินดาไป นางต้องการให้ลูกบุญธรรมเป็นคนรับใช้ไปตลอดชีวิต
“เอาไว้ป้าจะลองพูดกับคุณผู้หญิงดูนะคะ”
“ขอบคุณป้ากาญมากค่ะ”
นลินดายกมือไหว้ขอบคุณ ยกมือเช็ดคราบน้ำตาให้เหือดแห้ง ได้แต่ภาวนาให้มารดาบุญธรรมอนุญาตให้เธอออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง
“คงต้องพูดหลังจากเสร็จงานเลี้ยงต้อนรับคุณเอริณไปอีกหลายสัปดาห์ เพราะป้าได้ยินแว่วๆ ว่าคืนนี้คุณเอริณจะประกาศหมั้นกับแฟนหนุ่มด้วย หลังจากนี้คุณท่านกับคุณผู้หญิงอาจวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานหมั้น แต่ยังไงป้าจะลองพูดให้ค่ะ”
“นลินจะรอค่ะป้า รอมายี่สิบปีกว่าแล้ว ทนรออีกนิดคงไม่เป็นไรค่ะ” นลินดาปลอบใจตัวเอง พลางเอ่ยถามต่อกับข่าวใหม่ที่เพิ่งรับรู้
“คุณเอริณจะประกาศหมั้นในวันนี้หรือคะ”
“ป้าได้ยินมาแบบนั้นค่ะ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดมาก คงต้องรอดูคืนนี้นะคะ”
ป้ากาญเอ่ยบอกเท่าที่รู้ ก่อนจะสั่งคนรับใช้คนอื่นๆ เมื่อเห็นว่างานเลี้ยงจวนจะเริ่มขึ้นแล้ว
“เด็กๆ เอาแก้วไวน์และเครื่องดื่มออกไปได้แล้ว”
“นลินขอไม่ออกจากห้องครัวนะคะ ป้ากาญ”
ป้ากาญรู้เหตุผลว่าทำไมนลินดาเอ่ยเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ “อยู่ในนี้ดีแล้ว อย่าออกไปให้คุณๆ เห็นหน้า ไม่เช่นนั้นนลินจะถูกทำโทษได้”
“ค่ะป้ากาญ”
ด้วยรู้ว่าหากขัดคำสั่งต้องถูกทำโทษจนเจ็บตัว นลินดาจึงทำตัวเป็นนางซินฯ อยู่แต่ในก้นครัว แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะออกไปแอบดูงานเลี้ยงสุดหรูหราของเอริณ