บทที่ 3
สองวันก่อนการเดินทางไปอเมริกา คฤหาสน์จิรภาสหลังงามบนพื้นที่นับสิบๆ ไร่ในวันนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายเมื่อคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองของคุณบริพัตรกำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกา
“คุณหนูคินขา จัดกระเป๋าเสร็จหรือยังคะ”
แม่นมอุ่นเอ่ยถามคุณหนูคนเล็กที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงกว้างของพี่สาวคนสวยที่ยังคงสาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“คินจัดเสร็จแล้วครับนมอุ่น จัดเสร็จตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ไม่เหมือนใครบางคนหรอก จัดกระเป๋าเดินทางเกือบเดือนแล้วยังไม่เสร็จสักที ไม่รู้ขนอะไรไปกันนักกันหนา”
คิวากรกัดแอปเปิ้ลสีแดงสดคำใหญ่แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เอ่ยตอบแม่นมอุ่นพร้อมกับแซวล้อเลียนพี่สาวคนงามทั้งๆ ที่ยังกลืนผลไม้รสชาติหวานไม่หมดคำ
รัณชิดามองค้อนน้องชายด้วยความหมั่นไส้ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วตีลงไปเบาๆ บนต้นแขนสีแทนของน้องชายจอมยียวน
“รู้ได้ไงว่าพี่จัดกระเป๋าเป็นเดือนแล้ว พี่เพิ่งเริ่มจัดแค่สองสามวันเอง”
“เพิ่งจัดสองสามวันนะใช่ แต่ตระเวนซื้อเสื้อผ้าตั้งแต่กลับมาถึงเมืองไทยแล้วไม่ใช่หรือพี่รัณ”
คิวากรเลิกคิ้วใส่เอ่ยถามอย่างรู้ทันและก็ได้รางวัลเจ็บแปลบแสบๆ คันๆ จากมือบางของพี่สาวที่หยิกลงมาบนต้นแขนสีแทนของตนเอง
“นี่ถ้าคุณพ่อไม่โทรไปบอกให้กลับเมืองไทยช่วงปิดเทอมเพื่อมารับคิน จ้างให้พี่ก็ไม่มาหรอกอุตส่าห์วางแผนจะไปเที่ยวกับเพื่อนไว้เรียบร้อยแล้ว”
รัณชิดาแสร้งทำหน้าเสียดายโปรแกรมการท่องเที่ยวที่วางแผนไว้ในช่วงปิดภาคการเรียนซึ่งมีแค่เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น สำหรับช่วงเวลาที่เหลือเธอตั้งใจจะเดินทางกลับแผ่นดินเกิดอยู่แล้ว แต่เมื่อบิดาโทรไปบอกให้กลับมาเมืองไทยทันที่ปิดภาคการเรียนเพื่อมารับน้องชายไปศึกษาต่อที่อเมริกาพร้อมกัน เธอจึงไม่ปฏิเสธและเต็มใจที่จะยกเลิกโปรแกรมการท่องเที่ยวทั้งหมด
“มารับหน่อยเถอะ พี่รัณไม่กลัวน้องชายคนนี้หลงทางปล่อยไก่อยู่ที่อเมริกาหรือครับ” คิวากรอ้อนเสียงหวานแกล้งตีสีหน้าให้ดูน่าสงสารที่สุด
“ทำอย่างกับว่าคินไม่เคยไปอเมริกาอย่างงั้นแหละ คินชำนาญพื้นที่ในรัฐที่เราจะไปอยู่มากกว่าพี่เสียอีก” รัณชิดาค้อนด้วยความหมั่นไส้เพราะคิวากรเดินทางไปอเมริกาบ่อยพอๆ กับที่เธอเดินทางไป
“ตกลงคินซื้อข้าวของหมดเยอะหรือเปล่า”
“ใครบอกว่าหมดเยอะ หมดไปแค่สามแสนเอง”
เพราะเป็นลูกคนรวยมีเงินทองจับจ่ายไม่ได้ขาดมือ คิวากรจึงเอ่ยตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาไม่รู้ว่าเงินทองนั้นหามาได้ยากลำบากมากเพียงใดถ้าหากเป็นการหามาซึ่งเต็มไปด้วยคำว่า ‘สุจริต’
“นี่อีตาคิน นายซื้ออะไรของนายถึงได้หมดเงินเยอะขนาดนี้”
รัณชิดาร้องเสียงหลงเบิกตาโตด้วยความตกใจกับคำตอบเรียบๆ ของน้องชาย ส่วนนมอุ่นได้ยินตัวเลขหกหลักที่เสียไปกับการช็อบปิ้งแค่เพียงวันเดียวถึงกับยกมือทาบอกทำท่าว่าจะเป็นลมให้ได้
คิวากรเด็กหนุ่มลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพ่อยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเอ่ยตอบกวนๆ ตามแบบฉบับของตัวเองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจสูง
“ซื้อของมากมายก่ายกองขี้เกียจสาธยายให้ฟังเดี๋ยวจะเอาใบเสร็จมาให้คุณยายรัณชิดาดูเอาเองก็แล้วกัน”
รัณชิดากลอกตาขึ้นบนด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เพราะความเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นลูกคนสุดท้องด้วยเลยทำให้คิวากรถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก คำว่า ‘ไม่’ ไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในหัวสมองของคิวากร หากอยากได้อะไรก็ต้องได้เสมอ
“คิน พี่อยากให้คินใช้จ่ายอย่างประหยัดบ้าง เงินหามาได้มันก็มีหมดเข้าสักวันถ้าหากเราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้”
“ไม่หมดหรอกน่าพี่รัณ ธุรกิจของคุณพ่อมีมากมายกำไรเป็นพันๆ ล้าน คินว่าเราใช้ทั้งชาตินี้ก็ไม่มีหมด”
ด้วยความทะนงลำพองใจมีเงินทองให้หยิบใช้ไม่ขาดมือแถมยังเคยเห็นตัวเลขกำไรจากธุรกิจของบิดามาหลายครั้งแล้วคิวากรจึงคิดเสมอว่าไม่มีทางที่ครอบครัวของตนเองจะพลิกผันจากเศรษฐีมาเป็นยาจกได้ แต่...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามผลกรรม ถ้าหากคิวากรหนุ่มน้อยหน้าทะเล้นมองอนาคตในอีกสองวันข้างหน้าได้เขาจะไม่มีทางพูดและแสดงออกด้วยท่าทีลำพองใจเช่นนี้
“เฮ้อ...พี่ไม่รู้จะบอกคินยังไงแล้ว พี่เสียดายเงินที่ซื้อของไม่มีประโยชน์ คินคิดสักนิดนะ ถ้าหากคินเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่คินซื้อของไร้สาระไปบริจาคให้กับคนยากคนจนจะเป็นกุศลช่วยให้พวกเขามีเงินซื้ออาหารประทังชีวิตได้อีกหลายวันได้อีกหลายมื้อ”
เพราะสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็กเมื่อโตขึ้นพอรู้ความหญิงสาวจึงช่วยนมอุ่นเลี้ยงน้องเรื่อยมาจนทำให้คิดเสมอว่าตัวเองเป็นเสมือนแม่ไก่ที่คอยปกป้องลูกเจี๊ยบตัวน้อยอย่างคิวากร
“โธ่ พี่รัณ แล้วใครบอกว่าคินไม่เห็นใจไม่สงสารคนพวกนั้น เมื่อวันก่อนคินยังไปบริจาคเงินให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งหนึ่งแสน”
“ตาคิน! โอ๊ย! พี่อยากจะบ้าตาย ทำไมบริจาคอะไรมากมายขนาดนั้น ทำบุญก็ทำแต่พอดีตัว”
“ทำแต่พอดีตัวแล้วครับ แต่คินตัวใหญ่ คินก็ต้องบริจาคเยอะหน่อย”
รัณชิดาส่ายหน้าอย่างระอารู้ว่าน้องชายตัวแสบเข้าใจความหมายที่เธอนั้นได้เอ่ยออกไปแต่ก็ยังตอบไปอีกทาง แต่ก็ยังดีหน่อยที่คิวากรรู้จักทำบุญเผื่อแผ่สิ่งที่ตนเองมีให้กับคนที่ไม่มี
“พี่รัณหยุดเลย พอแล้วไม่ต้องเทศน์ให้คินฟัง ด่าคินทุกวันไม่เบื่อหรือไงครับ”
คิวากรยกมือห้ามทัพเมื่อเห็นพี่สาวกำลังอ้าปากจะเอ่ยต่อว่าตนเองเหมือนดังเช่นทุกวันจนเขาไม่แน่ใจว่ารัณชิดาเป็นพี่สาวหรือเป็นแม่ของเขากันแน่
ความเสียใจเผยให้เห็นทั่วดวงหน้างามลออเมื่อตนเองถูกน้องชายต่อว่าด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ รัณชิดาผุดลุกขึ้นจากเตียงจ้องมองใบหน้าหล่อทะเล้นของน้องชายเขม็งก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“พี่ขอโทษที่ทำให้คินรำคาญ แต่ที่พูดไปทั้งหมดเป็นเพราะว่าพี่รักคิน รักน้องชายคนเดียวของพี่”
คิวากรผวาลุกขึ้นตามไปกอดร่างเล็กบอบบางของพี่สาวไว้แน่นพลางยิ้มประจบประแจงเอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ก่อนที่จะทำให้พี่สาวน้อยใจไปมากกว่านี้
“คินขอโทษนะพี่สาวคนสวย คินรู้ว่าพี่รัณรักคินมาก คินแค่แซวพี่รัณเล่นเท่านั้นเอง ถ้าหากวันไหนคินไม่ได้ยินเสียงพี่รัณบ่นคินรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ยกโทษให้คินด้วยนะ อย่างอนน้องชายสุดหล่อคนนี้เลย”
เรื่องปากหวานช่างออดอ้อนเอาใจคนไม่มีใครเกินคิวากรหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา ไม่กี่นาทีต่อมาผู้ที่เป็นพี่สาวก็มีอันต้องแย้มยิ้มหวานให้ เอ่ยยกโทษพร้อมกับตีลงไปบนต้นแขนของน้องชายด้วยความหมั่นไส้
“ทุกทีเลยนะตาคิน ชอบแกล้งให้พี่โกรธอยู่เรื่อย”
“ก็คินชอบมองเวลาพี่รัณโกรธนี่ครับ ดวงตางี้ลุกวาวราวกับแม่เสือ ใบหน้าถมึงทึงราวกับนางยักษ์ ขู่ฟอดๆ เหมือนจงอางหวงไข่ไม่มีผิด”
ขณะเอ่ยล้อเลียนพี่สาว คิวากรก็ผละออกห่างก้าวถอยทีละก้าวเพราะถ้าขืนอยู่ใกล้คงได้ชิมรสมือพี่สาวสักสองสามตุ้บ
“อีตาคิน!”
รัณชิดาแสร้งตีหน้ายักษ์เรียกน้องชายเสียงแหลมทั้งโมโหทั้งขำขณะที่ไล่ตีน้องชายซึ่งกำลังวิ่งหนีไปทั่วห้องนอน
“ตกลงนายจะให้พี่เป็นอะไร เป็นแม่เสือ เป็นนางยักษ์หรืองูจงอาง”
“เป็นทั้งสามอย่างที่คินว่ามานั่นแหละ”
คิวากรยิ้มเผล่แลบลิ้นใส่พี่สาววิ่งวนหลบหนีไปทั่วห้องก่อนจะวิ่งมาหลบหลังร่างเล็กของนมอุ่นยึดเป็นเกราะกำบังพี่สาวที่ยังคงไล่ต้อนไม่หยุด
“นมอุ่นช่วยด้วย พี่รัณแกล้งคินอีกแล้ว”
คิวากรร้องโวยวายหลบซ้ายหลบขวาอยู่ข้างตัวนมอุ่นพอถูกมือเล็กๆ ของพี่สาวตีมาโดนต้นแขนของตัวเองก็แกล้งร้องโอดครวญทำราวกับว่าเจ็บเสียเต็มประดา
“โอ๊ย! เจ็บ แขนคินเขียวช้ำไปหมดแล้ว”
“ร้องอะไรกันนักกันหนาตาคิน พี่ตีเบาๆ เองนะ”
รัณชิดาต่อว่ากลั้วหัวเราะมองค้อนคนที่แกล้งร้องโวยวายด้วยความหมั่นไส้แล้วตีลงไปหนักๆ บนต้นแขนสีแทนที่โอบกอดรอบเอวของนมอุ่น
สงครามการหยอกล้อเล็กๆ น้อยๆ ของสองพี่น้องที่ทำท่าว่าจะแกล้งกันหนักมือขึ้นทุกทีมีอันต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีเสียงเคาะประตูเบาๆ ด้วยความเกรงใจดังเล็ดลอดมาให้ได้ยิน
“เข้ามาเลยค่ะ รัณไม่ได้ล็อกห้อง”
รัณชิดาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับอาการเหนื่อยหอบจากการวิ่งไล่ต้อนเจ้าน้องชายตัวแสบไปทั่วห้อง
“คุณหนูรัณคะ คุณท่านให้ไปพบที่ห้องทำงานค่ะ” เด็กรับใช้เอ่ยบอกแผ่วเบาก้มหน้านิ่งรออยู่หน้าประตู
“คุณพ่อให้พี่รัณไปพบคนเดียวหรือ”
คิวากรเอ่ยถามทำท่าจะลุกเดินตามพี่สาวแต่ก็ต้องทรุดตัวลงนั่งบนเตียงตีหน้ามุ่ยอย่างเสียดายเมื่อได้ยินคำตอบจากเด็กรับใช้
“คุณท่านให้คุณหนูรัณไปพบคนเดียวค่ะ”
รัณชิดาหันมายิ้มใส่น้องชายก่อนจะเดินออกจากห้องนอนตรงไปยังห้องทำงานของบิดาซึ่งอยู่ถัดไปอีกสี่ห้องภายในเนื้อที่อันกว้างใหญ่ของคฤหาสน์หลังงาม