บทที่ 2
“ผมของดงานนี้”
ผู้พันสิงห์เอ่ยปัดเก็บภาพถ่ายนับสิบๆ ใบกลับเข้าซองสีน้ำตาลเหมือนเดิมยกเว้นภาพถ่ายของหญิงสาวน่ารักอ่อนหวานที่เขาได้ดันสอดเก็บไว้ตรงข้อมือใต้เสื้อสูทและเมื่อรู้ว่าผู้หมวดกรินทร์เห็นการกระทำของตนเองจึงหันไปถลึงตาห้ามไม่ให้พูดผ่านสายตาคมดุ
พล.ร.ต.ธีรกรหันขวับตีสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไรกับคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของสไนเปอร์มือหนึ่ง ในองค์ลับพยัคฆ์ทมิฬมีน.อ.สิงหนาทผู้เดียวที่ไม่เคยทำงานพลาดและมักได้รับความไว้วางใจให้ทำงานใหญ่ๆ เสมอ
“ทำไมถึงไม่รับงานนี้ ผมจำได้ว่าผู้พันไม่เคยปฏิเสธหน้าที่ของตัวเอง”
“ผมจะไม่ปฏิเสธ ถ้าหากเป้าหมายไม่มีผู้หญิงรวมอยู่ด้วย”
“เหตุผล?”
“สไนเปอร์ทุกคนย่อมมีกฎเหล็กของตัวเอง ผมก็เช่นเดียวกันจะให้เก็บใครก็ได้ยกเว้นเด็กและผู้หญิง”
ผู้พันสิงห์ผลักซองเอกสารออกห่างพร้อมกับลุกขึ้นยืนหันหลังกลับก้าวเดินออกจากห้องเป็นการตัดบทให้ผู้ที่เป็นนายรู้ว่าตนเองไม่รับงานนี้ แต่เท้าใหญ่แข็งแกร่งในรองเท้าหนังแท้มันปลาบก้าวเดินไม่ถึงสองก้าวก็มีอันต้องชะงักงันเมื่อได้ยินคำพูดของท่านนายพลที่เอ่ยออกมาอย่างเลือดเย็น
“ถ้าหากผู้พันไม่รับงานนี้เห็นทีผมต้องให้ผู้กองดนิษฐ์เป็นผู้ทำหน้าที่แทน”
“ผมจัดการเองอีก 2 วันครอบครัวนี้จะหายไปจากเมืองไทย”
น.อ.สิงหนาทหันขวับก้าวเท้ายาวๆ กลับมาคว้าซองสีน้ำตาลไว้ในมือขณะเอ่ยตอบเสียงราบเรียบเก็บซ่อนความคิดของตนเองไว้ภายใต้ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาดำสนิทที่นิ่งเฉยไม่ไหวติง
“อย่าทำให้ผมผิดหวังนะผู้พันสิงหนาท”
ผู้พันหนุ่มไม่เอ่ยตอบแต่จ้องมองท่านนายพลเขม็งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วก้าวยาวๆ ออกจากห้องทำงานโดยมีผู้หมวดกรินทร์เดินตามมาติดๆ
พล.ร.ต.ธีรกรมองตามสไนเปอร์มือหนึ่งกับคนชี้เป้าที่เดินออกไปจากห้องด้วยแววตาเยาะหยันจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์กดโทรหาอีกหนึ่งลูกน้องคู่ใจ พออีกฝ่ายกดรับสายก็สั่งงานสั้นๆ อย่างรู้และเข้าใจกันดี
“ผู้กองดนิษฐ์ เตรียมตัวให้พร้อม”
“ผู้พันจะแหกกฎของตัวเองหรือครับ”
ร.ท.กรินทร์เอ่ยถามผู้บังคับบัญชาด้วยความสงสัย ตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นคนบอกเป้าให้กับผู้พันหนุ่มผู้องอาจ เขาไม่เคยเห็นผู้พันแหกกฎเหล็กของตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว
“ถ้าหากเราไม่ทำ ผู้กองดนิษฐ์ก็เป็นคนทำอยู่ดี”
ผู้หมวดกรินทร์ตีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรขณะได้ยินคำตอบ ในองค์กรพยัคฆ์ทมิฬ นอกจากจะมีน.อ.สิงหนาท ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งในองค์กรลับแห่งนี้ ยังมีร.อ.ดนิษฐ์ซึ่งเป็นสไนเปอร์เลือดใหม่ไฟแรงที่ต้องการโค่นล้มและก้าวขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งของผู้พันสิงหนาทด้วย
“ผู้พันจะฆ่าเธอจริงๆ หรือครับ แล้วถ้าหากเธอไม่รู้เห็นการทำธุรกิจทำลายชาติของผู้ที่เป็นพ่อไม่เท่ากับว่าเรากำลังฆ่าคนบริสุทธิ์หรือครับ”
ด้วยลิฟท์ที่วิ่งลงมายังชั้นล่างของตัวอาคารมีผู้โดยสารแค่เพียงสองคนคือตัวผู้ถามและผู้พันหนุ่ม ร.ท.กรินทร์จึงกล้าเอ่ยถามออกความคิดเห็นโดยไม่ต้องกลัวบุคคลอื่นจะรับรู้ว่าเบื้องหลังของพวกตนเองนั้นคือใคร
ผู้พันสิงหนาทถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจแทบจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ได้สำหรับการคิดไม่ตกกับหน้าที่ที่ตนเองได้ปฏิบัติมานานเป็นสิบปี
“ยังมีเวลาอีกสองวันให้ตัดสินชะตาชีวิตของเธอ ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่ท่านนายพลว่านายจะต้องเป็นคนลงมือแทน ฝีมือนายก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเราสักเท่าไร”
“แล้วถ้าหากเธอไม่ได้เป็นดังที่ท่านนายพลบอกละครับ”
ร.ท.กรินทร์ถามย้ำอยากให้คำตอบที่จะได้ยินออกมาในทางบวกมากกว่าลบ การทำหน้าที่เป็นคนบอกเป้าก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นคนนำทางให้วิถีกระสุนได้พุ่งตรงออกไปเข่นฆ่าปลิดชีวิตของผู้ที่เป็นเป้าหมายและเขาเองก็ไม่พิสมัยการฆ่าชีวิตผู้หญิงเช่นเดียวกันกับผู้บังคับบัญชา
แว่นตาดำที่ถืออยู่ในมือถูกยกขึ้นมาสวมปิดบังใบหน้าแววตาของตนเองพร้อมกับก้าวออกมาจากลิฟท์แล้วตรงดิ่งไปยังรถสปอร์ตหรูสีดำสนิทที่จอดอยู่หน้าอาคารสูงระฟ้า ผู้พันหนุ่มหล่อเข้มก้าวเข้าไปนั่งในรถและก่อนจะขับเคลื่อนนำพารถหรูทะยานสู่ท้องถนนก็ได้เอ่ยตอบให้ลูกน้องในอาณัติได้ตีหน้าสบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
“ถ้าหากเธอไม่ได้เดินตามรอยเท้าพ่อ เธอก็จะรอดจากกระสุนปืนของเรา”
ผู้พันสิงหนาทโยนซองเอกสารสีน้ำตาลลงไปบนโต๊ะรับแขกเมื่อกลับมาถึงห้องชุดหรูหราของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาเดินตรงไปยังมุมบาร์ขนาดย่อมภายในห้องชงเครื่องดื่มเย็นๆ มาดับกระหายก่อนจะคว้าซองเอกสารมาถือไว้อีกครั้งแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน
การค้นหาข้อมูลของเป้าหมายที่เป็นนักการเมืองชื่อดังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ โลกออนไลน์มีข้อมูลของนายบริพัตร จิรภาสพร้อมทั้งข้อมูลของลูกๆ ให้ได้อ่านอย่างละเอียดลออ
รัณชิดา จิรภาส อายุ 20 ปีและคิวากร จิรภาส อายุ 19 ปีคือรายชื่อของเป้าหมายสำหรับนัดที่สองและสาม มือใหญ่แข็งแกร่งกดคลิกจับภาพไปที่สาวน้อยนัยน์ตากลมโต ใบหน้าหวานน่ารัก ปลายนิ้วชี้เรียวยาวยกขึ้นไปลูบไล้ทั่วดวงหน้างามเรียวปากอิ่มเอิบสีหวานผ่านหน้าจอโน้ตบุ๊กพร้อมกับเอ่ยพึมพำเรียกชื่อสาวน้อยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างไม่รู้สึกตัว
“รัณชิดา จิรภาส เธอกำลังเดินตามรอยเท้าพ่อเป็นนักค้าอาวุธสงครามจริงหรือ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เสียดายที่ต้องมาจบชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย”
ผู้พันหนุ่มเปิดดูภาพสาวน้อยไปเรื่อยๆ รอยยิ้มบางๆ กระตุกขึ้นตรงมุมปากขณะมองภาพถ่ายในอิริยาบถที่ดูร่าเริงน่ารักสดใสเป็นธรรมชาติของเด็กสาวที่ชื่อรัณชิดาพร้อมกันนั้นก็ได้สั่งปรินท์ภาพของสาวน้อยทุกภาพนับรวมๆ แล้วเกือบห้าสิบภาพออกมาเก็บไว้ เขานั่งจมดิ่งอยู่กับภาพแสนประทับใจของรัณชิดาร่วมชั่วโมงและเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรลงไปก็ปิดโน้ตบุ๊กพร้อมกับกวาดภาพของเหยื่อรวมทั้งข้อมูลที่ได้จากท่านนายพลธีรกรไปเผาทิ้ง
“นรก!! สิงห์นี่แกกำลังใจอ่อนให้กับเหยื่องั้นหรือ อย่าลืมสิว่าแกเกิดมาเป็นนักฆ่า แกต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
ผู้พันสิงหนาทสบถลั่นใบหน้าคมเข้มถมึงทึงแดงก่ำดวงตาลุกวาวนึกโทษความคิดของตัวเองที่เผลอเห็นใจเป้าหมายเป็นครั้งแรกในชีวิต เท้าใหญ่แข็งแกร่งพาเรือนกายล่ำสันผึ่งผายดุจดังบุรุษนักรบโบราณเดินตรงไปยังห้องทำงานจากนั้นก็กดลงไปบนปุ่มลับเพื่อเปิดผนังห้องสีขาวสะอาดซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษให้เลื่อนออกจากกันเผยให้เห็นตู้กระจกที่เก็บซุกซ่อนสิ่งของสะสมและเครื่องมือในการทำงานที่ตนเองได้เก็บซ่อนเร้นไว้อย่างดี
ปืนไรเฟิล อาวุธประจำกายถูกปลดออกจากชั้น นำออกมาวางลงบนโต๊ะทำงาน ดวงตาคมจ้องมองแน่นิ่งไปยังปืนไรเฟิล หัวใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผานึกย้อนคิดถึงคืนวันที่ผ่านมานับตั้งแต่ตนเองได้สมัครใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนักเรียนนักทำลายใต้น้ำจู่โจมในหน่วยซีลแห่งไทย ก่อนจะได้รับทุนให้ไปฝึกที่สหรัฐฯ ร่วมกับหน่วยซีลจากชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ทั่วโลก ด้วยความสามารถที่มีรอบด้านทำให้เขาได้รับคัดเลือกฝึกให้เป็นสไนเปอร์มือหนึ่งของหน่วยราชการก่อนจะกระโจนออกมาร่วมงานกับท่านนายพลธีรกร
“บ้าชะมัด ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยฆ่าผู้หญิงสักคน”
ผู้พันหนุ่มผลักปืนไรเฟิลออกห่างทำไมคำว่า ‘ปรานี’ จึงได้ก่อเกิดกับเป้าหมายรายนี้ ทั้งที่พยายามทำใจไม่ให้นึกคิดหวั่นไหวเกิดอาการสงสารแต่จิตใจที่เข้มแข็งก็อดสั่นไหวไม่ได้ เมื่อหลับตาลงคราใดก็มีแต่ภาพของสาวน้อยที่ชื่อรัณชิดาตามติดตาติดใจตลอดเวลา
เขาตรวจเช็กสภาพความเรียบร้อยของไรเฟิลอีกครั้งก่อนจะเก็บไว้ในช่องลับเหมือนเดิมจากนั้นก็กลับมาทรุดตัวลงนั่งหน้าโน้ตบุ๊กและสิ่งที่ทำโดยอัตโนมัติอย่างไม่รู้สึกตัวคือการเปิดดูภาพของรัณชิดาอีกครั้ง หัวใจแข็งแกร่งมีอันต้องกระตุกไหวทุกครั้งที่มองภาพถ่ายอันน่ารักสดใส ไม่รู้ว่าเขานึกคิดไปเองหรือเปล่าว่ารัณชิดากำลังยิ้มแย้มแจ่มใสดวงตากลมโตคู่สวยจับจ้องมองแค่เขาแต่เพียงผู้เดียว
ผู้พันสิงห์ถอนหายใจยาวลุกขึ้นเดินไปมองภาพของบุพการีทั้งสองที่ล่วงลับไปแล้วก่อนจะเอ่ยพึมพำส่งถ้อยคำฝากไปกับสายลมฟากฟ้าให้บุพการีที่เคารพรักได้รับรู้
“คุณพ่อคุณแม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกรู้สึกผิดสำหรับการทำหน้าที่เป็นผู้ล่า”