ตอนที่ 2
เขาสำนึกผิดทั้งน้ำตา เธอจับความขมขื่นในเสียงนั้นได้ เขากำลังร้องไห้
แม้สมโชคจะยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชาย ว่าเขาทำลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ความเหงาทำให้เขาขาดความยั้งคิด ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นได้ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็คือภรรยาของตัวเองหัวใจแหลกสลายกับเรื่องที่ได้รู้
“ต่างคนต่างอยู่เถอะนะพี่โชค… ”
“แล้วจันทร์จะไปอยู่ยังไงคนเดียว”
“พี่ไม่ต้องห่วง ถ้ารักฉันก็ปล่อยฉันไปเถอะ การที่เราเลิกกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด บางทีมันอาจจะเป็นผลดีกับเราทั้งสองคนที่จะไปเริ่มต้นใหม่… ลาก่อน ถ้าเป็นไปได้ฉันภาวนาขออย่าให้เราต้องเจอะเจอกันอีกเลย ทั้งชาตินี้และชาติหน้า”
เจ็บปวดใจที่ต้องเอ่ยออกมาอย่างนั้น หากแต่หญิงสาวก็พยายามหาข้อดีให้กับการตัดสินใจหนีออกไปจากชีวิตของกันและกัน เธอเอ่ยทิ้งท้ายกับคนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตสามีอย่างตัดเยื่อตัดใย พร้อมกับตัดสายสนทนาเสียก่อนที่เขาจะพูดพร่ำร่ำไรมากไปกว่านี้
แรมจันทร์เอนหลังพิงพนักเบาะนั่ง ยากเย็นเหลือเกินที่จะข่มตาให้หลับลงได้ในอารมณ์นั้น
จู่ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน… ก็ผุดขึ้นมารบกวนจิตใจของเธออีกครั้ง ทำให้แรมจันทร์ต้องนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตา ภาพบาดตาบาดใจที่เธอตะลึงมองอยู่นานเป็นครู่ ค่อยๆ ลำดับเข้ามาในสมองช้าๆ ทีละภาพ กระทั่งชัดเจนขึ้นเหมือนหนังที่ถูกนำมาฉายซ้ำอีกรอบ
ตอนใกล้ค่ำของวันที่เกิดเหตุ
แรมจันทร์ไม่ได้ทำโอทีดึกดื่นเหมือนเช่นทุกๆ คืนที่ผ่านมา ด้วยรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากะทันหัน ครั่นเนื้อครั่นตัว จึงขออนุญาตหัวหน้างาน ลากลับบ้านเร็วกว่าทุกวัน
เมื่อมาถึงหน้าปากซอย เธอแวะซื้อกับข้าวในตลาดนัดข้างทางที่มักจะตั้งร้านเรียงรายขายกันเป็นประจำทุกเย็นวันศุกร์
หญิงสาวมองหาร้านขายกับข้าว ด้วยความเป็นห่วงสามี เพราะรู้ว่าสมโชคมักจะหิวโซกลับมาทุกครั้ง หลังกลับจากขับแท็กซี่ซึ่งเป็นอาชีพที่เขาทำมาตลอดสองปีที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ได้กับข้าวติดมือมาสองสามอย่าง จากนั้นแรมจันทร์ก็นั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาจากปากซอย ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงบ้านที่เธอกับสมโชคอาศัยอยู่ด้วยกัน
สภาพของบ้านเช่าที่แลเห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นบ้านไม้ครึ่งปูน มีสองชั้น ล้อมรอบเอาไว้ด้วยรั้วสังกะสีเก่าๆ สภาพค่อนข้างทรุดโทรม แต่บ้านเก่าๆ ก็มีข้อดีตรงที่ค่าเช่าไม่แพงจนเกินกำลังของเธอและสามีจะจ่ายไหว แล้วบ้านหลังนี้ก็ยังมีห้องว่างเหลือพอให้ดาวเรืองซึ่งเป็นน้องสาวต่างบิดา เข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ในระหว่างที่กำลังเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ หลังจากเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้ไม่นาน
แรมจันทร์เดินตรงเข้าไปในบ้าน เธอรู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าประตูบ้านไม่ได้ล็อคเอาไว้ อีกทั้งรถแท็กซี่ของสมโชคที่จอดอยู่ในบ้าน ยิ่งทำให้นึกสงสัยว่า ‘ทำไมวันนี้เขากลับเข้าบ้านเร็วนัก?’
น่าแปลก! ทั้งที่ตอนใกล้เลิกงานแบบนี้เป็นช่วงเวลาทองที่ผู้โดยสารมักจะเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ แล้วปกติพอเธอเลิกทำโอที สมโชคก็มักจะมารอรับที่หน้าโรงงานเย็บผ้าเป็นประจำ แวะรับเธอกลับเข้าบ้านมาพร้อมกันทุกวัน
“พี่โชค… ”
หญิงสาวเรียกเบาๆ พลางก้าวขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอนชั้นสองของบ้าน
มือเรียวผลักบานประตู ชะโงกใบหน้าเข้าไปมอง เข้าใจว่าบางทีสมโชคอาจจะป่วยแล้วกลับมานอนพักก็เป็นได้ ทว่าภายในห้องนอนกลับว่างเปล่า… ไร้เงาของสามี
ความประหลาดใจเร่งเร้าให้แรมจันทร์เกิดความอยากรู้ และในขณะที่เธอกำลังก้าวลงบันไดมาช้าๆ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องเบาๆ แว่วออกมาจากห้องนอนของน้องสาวต่างบิดาที่อยู่ชั้นล่าง ถัดออกไปทางด้านหลังครัว
‘ดาวเรือง… ’
แรมจันทร์รำพึงชื่อน้องสาวขึ้นมาเบาๆ ไหนดาวเรืองบอกว่าจะออกไปหางานทำ? แต่เสียงนั่น… !
ให้ตายเถอะ… แรมจันทร์ไม่อยากคิดไปในทางร้าย แต่เธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเกินกว่าจะเดาไม่ได้ว่ามันเป็นเสียงอะไร?
ด้วยความอยากรู้…
เธอก้าวช้าๆ หัวใจเต้นแรง ตรงไปยังห้องพักของน้องสาว แนบดวงตาเข้ากับรอยรั่วข้างฝาผนัง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้แรมจันทร์เข่าอ่อน หัวใจของเธอหล่นวูบลงมาอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะแหลกสลายเหมือนเศษแก้ว
‘ดาวเรือง… ’
แรมจันทร์ยกมือขึ้นปิดปาก เธอชักใบหน้ากลับออกมาจากรูรั่วด้วยความขมขื่น ความปวดร้าวแล่นเข้าจู่โจมหัวใจ สมโชคกับดาวเรืองน้องสาวต่างบิดาของเธอกำลังกอดรัดกันนัวเนียอยู่บนเตียงนอน ในสภาพร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อนด้วยกันทั้งคู่
แรมจันทร์เสียใจมาก ขณะกำลังจะชักปลายเท้าก้าวกลับออกมา แล้วเดินหนีไปให้ไกลจากตรงนั้น หากแต่เสียงกรีดร้อง สลับครวญครางด้วยความสุขสมของดาวเรืองก็กระตุ้นให้แรมจันทร์หันกลับมาแนบดวงตาเข้ากับรอยรั่วข้างฝาผนังอีกครั้ง
เธอยอมรับว่าเจ็บปวดและเสียใจจนพูดไม่ออก ที่สมโชคกับดาวเรืองซึ่งเป็นน้องสาวต่างบิดา ทรยศต่อความไว้วางใจของเธออย่างเลือดเย็น