บทย่อ
“อ๊า… หยุดเถอะค่ะ…” แรมจันทร์ใจจะขาด หลุบตาลงมองแผงหนวดดกหนาเหนือริมฝีปากของเขา บัดนี้กำลังครูดคราดอยู่กับกลีบเนื้อสาวบอบบางของเธอ แลเห็นเยื่อใยสีชมพูซับซ้อน วนเกลียวเหมือนใจกลางของกลีบกุหลาบ “อร่อย… ” พ่อเลี้ยงดูดจ๊วบจั๊บ รู้สึกได้ว่าหญิงสาวกำลังขมิบกลีบเนื้อสาวด้วยความรู้สึกสับสน เสียวซ่านทรมานกับปลายลิ้นร้อนๆ ของเขาที่ชำแรกเข้าไปเลียวน ระรัวอยู่ในความซับซ้อนอ่อนไหวของกลีบดอกไม้สาว
ตอนที่ 1
พิศวาสรักต่างวัย
แรมจันทร์กำลังจะออกเดินทาง เชียงใหม่คือจุดหมายปลายทางของเธอ ทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทำอะไรที่นั่น ญาติพี่น้องก็ไม่มี แต่ที่ตัดสินใจเลือกไปเชียงใหม่ก็เพราะว่าระยะทางเจ็ดร้อยกิโลเมตรกว่าๆ จากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่… น่าจะไกลเพียงพอให้เธอลืมชีวิตเน่าๆ ลืมเหตุการณ์บัดซบที่กรุงเทพฯ
“ไปหมอชิต”
ใบหน้าสะสวย ทว่าซีดเศร้า ชะโงกบอกโชเฟอร์แท็กซี่ที่ขับผ่านมาจอดเทียบฟุตบาทที่เธอกำลังยืนอยู่ในอาการเหม่อลอย จากนั้นร่างรัดรึงก็เข้าไปทรุดลงนั่งยังเบาะด้านหลัง
แท็กซี่สีเขียวเหลืองเคลื่อนตัวออกไปสู่ประกายแสงแดดยามเช้า เนื่องจากในตอนนั้นยังเป็นเวลาเช้าตรู่อยู่มาก รถราบนถนนจึงยังไม่หนาแน่นนัก
หญิงสาวหยิบกระจกเล็กๆ ขึ้นมาส่องดูใบหน้าของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าหน้าตาเธอยังดูหมองหม่น ริ้วรอยเศร้ายังตกค้างอยู่บนใบหน้า แวววิตกกังวลยังปรากฏอยู่ในดวงตา ขอบตาแดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ปกติแรมจันทร์เป็นคนแจ่มใสร่าเริง หากแต่เรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กระทบกระเทือนจิตใจของเธออย่างรุนแรง ด้วยไม่คิดว่าคนใกล้ตัวจะทรยศต่อความไว้วางใจของเธออย่างเลือดเย็นที่สุด
หญิงพยายามสลัดเรื่องราวรบกวนจิตใจออกไปจากความคิด หยิบตลับแป้งพัฟออกมาแตะซับความมันบนใบหน้า ตอนนั้นหน้าตาจึงสดใสขึ้นมาบ้าง
“จะไปเที่ยวไหนหรือครับ”
คนขับแท็กซี่ชวนคุย เหลือบมองเธอจากกระจกมองหลัง
“ไปเชียงใหม่ค่ะ”
แรมจันทร์ตอบเบาๆ ความจริงเธอไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยว ตอนนั้นภายในใจคิดเพียงแต่ว่าอยากจะหนีไปให้ไกลๆ พ้นไปจากชีวิตเดิมๆ เสียที ออกไปเสี่ยงโชคชะตาดูบ้าง เธออยากเริ่มต้นใหม่ อยากมีชีวิตใหม่ แม้รู้ว่าอนาคตข้างหน้านั้นยังดูเลือนราง หาความแน่นอนไม่ได้ แต่ที่ตัดสินใจออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ก็เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรย่ำแย่ไปกว่าชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้ วันๆ ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในโรงงานเย็บผ้าจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
แรมจันทร์นั่งดมกลิ่นเหม็นอับในรถเก่าๆ มาพักใหญ่ๆ แท็กซี่ก็พาเธอมาถึงสถานีขนส่งหมอชิต
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เวลาจวนเจียนจะแปดโมงเช้า อีกไม่นานจะถึงเวลาออกเดินทาง
ขณะกำลังจะเดินตรงไปที่รถทัวร์สีฟ้าคาดขาว คันใหญ่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงท้องร้องแว่วมาเข้าหู เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าร่างกายกำลังต้องการอาหาร
ตอนนั้นเองที่ทำให้แรมจันทร์นึกขึ้นได้ว่านอกจากน้ำ ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน เป็นเพราะว่าเอาแต่ร้องไห้เสียใจจนลืมความหิว
หญิงสาวตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางใบย่อม ตรงไปยังร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่แลเห็นอยู่ไม่ไกล ห่างออกไปจากจุดที่เธอยืนอยู่เพียงไม่กี่ก้าว เข้าไปซื้อไส้กรอกกับน้ำเปล่า แล้วเดินกลับมาขึ้นรถทัวร์ที่กำลังติดเครื่องรออยู่ที่ชานชลา
เสียงจากลำโพงภายในอาคารผู้โดยสารลอยมากระทบหู เจ้าหน้าที่ประกาศเตือนว่ารถทัวร์กำลังจะออกเดินทางในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
แรมจันทร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ลากกระเป๋าเดินทางตรงไปยังรถทัวร์ที่ติดเครื่องจอดรออยู่ไม่ไกล พนักงานที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ ประตูทางขึ้น ขอดูตั๋วในมือของเธอ จากนั้นก็ช่วยยกกระเป๋าเดินทางไปใส่เอาไว้ในช่องเก็บของที่อยู่ด้านข้างของตัวรถ
นาทีต่อมา…
หญิงสาวก้าวขึ้นมาบนรถ มองหาหมายเลขเบาะนั่งตามที่ปรากฏอยู่บนตั๋ว เจอแล้วก็ทรุดกายลงนั่งเงียบๆ เอนหลังพิงพนักเบาะด้วยความรู้สึกอ่อนล้า ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในรถทำให้เธอรู้สึกอยากหลับโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก
ขณะกำลังรอให้ถึงเวลาเดินทาง จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของหญิงสาวก็ดังขึ้น เธอกดรับแล้วยกขึ้นแนบหู นึกแล้วเชียวว่าเขาต้องโทรมา แต่เธอสัญญากับตัวเองแน่วแน่แล้วว่าจะไม่มีวันใจอ่อนเด็ดขาด หลังจากครุ่นคิดใคร่ครวญดีแล้ว ว่าถ้าขืนทนอยู่กับเขาต่อไป ก็เท่ากับว่าเธอยอมจำนนต่อโชคชะตา ยอมปล่อยให้ชีวิต ‘ลิขิต’ เธอ แต่นับจากนี้ต่อไป… เธอขอลิขิตชีวิตตัวเอง
“โทรมาทำไม… ”
น้ำเสียงกระด้างกรอกกลับไปสู่ต้นสายอย่างไม่ใยดี
“จะไปจริงๆ หรือจันทร์”
เขาถามเบาๆ
“จริง…”
เธอกระแทกเสียงกลับไปด้วยความโกรธ
“พี่ขอโทษ พี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก… กลับมาเถอะนะ เรากลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ไหม”
สมโชคซึ่งสามีของแรมจันทร์วิงวอนเสียงอ่อน มีแต่หญิงสาวเท่านั้นที่รู้ดีว่าจากนี้ไปจะไม่มีอะไรกลับคืนมาได้เหมือนเก่าอีกแล้ว เหมือนแก้วที่มีรอยร้าว… สักวันก็คงแตกสลาย
“กลับมาเถอะนะ… พี่ขอโทษ”