บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

"มึงจะทำงานกับกูจริงๆ เหรอวะไอ้วิชญ์"

ทองแท่งหันมองเพื่อนข้างๆ ชายหนุ่มร่างสูง ไหล่กว้าง ผิวของเขาเป็นสีแทน นัยน์ตานั้นคมกริบราวกับใบมีดโกน คิ้วเข้ม จมูกโด่งขึ้นสัน เขาไว้หนวดเคราหากกลับดูเท่ เถื่อน...สะดุดตาของสาวๆ ที่อยู่ในผับที่ตามพากันเมียงมองมาทางเขา ทองแท่งรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองไปด้วย และรู้สึกว่าหล่อขึ้นอีกหลายเท่าตัว...เพราะเพื่อนสนิท

"อืม"

วิชญ์ตอบกลับสั้นๆ แล้วยกกระดกแก้วเข้าปาก น้ำสีอำพันในนั้นทำให้เขาร้อนวูบไปถึงช่องท้อง ก่อนจะรินเติมมันอีก

"พ่อมึงยอมเหรอ?"

"เขาไล่กูออกมาแล้ว"

วิชญ์ยักไหล่ เพราะเหตุนี้เขาถึงเตลิดมาหาเพื่อนรักที่คบหากันมานาน ทองแท่งเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย และคบกันมายาวจนถึงปัจจุบัน เขาอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ

"เฮ้ย ทำเป็นเล่น พ่อมึงไล่มึงนี่อะนะ"

"เอ่อ ไม่ได้เล่น เค้าไล่จริงจัง กูออกมาจริงจัง กูไม่ได้เอาอะไรออกมา สักบาท"

เขาว่า แล้วหันมามองหน้าเพื่อนก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

"อู่มึงมีห้องให้พัก ข้าวให้กินใช่ไหมไอ้ตี๋"

"อา..."

ทองแท่งกลืนน้ำลาย ดูท่าว่าวิชญ์จะเอาจริง เดือดร้อนมาแบบนี้เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนล่ะ

"มึงทำอะไรได้บ้าง"

"ได้ทุกอย่างตั้งแต่ปะยางมอเตอร์ไซค์ จนถึงยกเครื่องรถยนต์ ประกอบรถก็ยังไหวถ้ามึงจะให้ทำ"

"เอาก็เอา ทำก็ทำ กูต้องถามป๊ากูก่อนนะโว้ย ว่าจะให้เงินเดือนมึงได้เท่าไหร่ อยู่กับกูมันอาจจะลำบากบ้าง ไม่เหมือนอยู่กับที่บ้านมึงนะ มึงคิดดีๆ นะไอ้วิชญ์ มึงทิ้งพ่อมึง ทิ้งกิจการของทางนั้นมาจริงๆ น่ะหรือ"

ทองแท่งลองกล่อมเพื่อนดู ดูท่าเรื่องขัดแย้งคราวนี้จะรุนแรงมาก วิชญ์ถึงได้เตลิดมาแบบนี้ ฐานะครอบครัวของเพื่อนเขาต้องเรียกได้ว่าเศรษฐีคนหนึ่งเลยทีเดียว กิจการของที่บ้านวิชญ์เป็นอู่เหมือนกัน แต่อู่ระดับซ่อมรถอย่างบีเอ็มดับเบิลยู เบ๊นซ์ และนำเข้ารถหรู เปิดเป็นโชว์รูมมีสาขาสองสาขา อู่ดังมีชื่อเสียงระดับนั้น กลับอยากจะมาทำงานกับเขา

"เท่าไหร่ก็เอา จะดูงานว่ากูทำอะไรได้แค่ไหนก่อนก็ไม่ว่า แต่ขอไปอยู่กับมึง"

วิชญ์ว่า แล้วโบกมือให้เด็กเสิร์ฟแถวนั้นมารับออเดอร์เพิ่ม พลางหันมาบอกเพื่อน

"เหล้ามื้อนี้มึงก็หักจากค่าแรงกูได้เลย เบิกล่วงหน้า"

"มันเอาจริงว่ะ"

ทองแท่งบ่นเบาๆ ใจเขาไม่อยากให้เพื่อนรักทิ้งครอบครัวมา อยากรู้ว่าบาดหมางอะไรกับพ่อ เผื่อเขาจะพอพูดจาให้เพื่อนเปลี่ยนใจได้บ้าง แต่เอาเถอะ ไว้ค่อยๆ ลองคุยกับวิชญ์ดูถ้าเพื่อนอารมณ์เย็นลงมากกว่านี้แล้ว

เฮ้อ...

เขาตบบ่าล่ำๆ นั่น แล้วบอกเพื่อนว่ามื้อนี้เขาขอเลี้ยงในฐานะได้ลูกน้องใหม่ เล่นเอาหมอนั่นยกมุมปากให้นิดหนึ่ง เรียกว่ายิ้มได้ไหมนะ ตั้งแต่คบกันมา นับครั้งได้ที่จะเห็นไอ้วิชญ์แหกปากหัวเราะ หรือว่าจะยิ้มแบบเห็นฟันครบทุกซี่สักที หมอหน้านิ่ง หน้าตาย...แถมท้ายด้วยหน้าหล่อ หล่อดุๆ แบบชายไทยแท้ เพราะผิวเข้ม หน้าคม และไหนจะหนวดเคราครบครัน

ทำไมมันหล่อจังวะ?

เขาแอบเหลือบมองหน้าอกล่ำๆ ที่ดันเสื้อยืดออกมา แอบมองที่อกแห้งๆ ของตัวเอง...อย่างอนาถาน้อยๆ ไหนจะพุงนิดๆ ที่ล้ำออกมาเพราะเบียร์เย็นเจี๊ยบทุกเย็นที่สังสรรค์กับพวกช่างอีกเล่า ไอ้วิชญ์มันหุ่นดีจริง

รับมันไปนี่จะเป็นอันตรายต่อที่บ้านไหมนะ

เขามีน้องสาวเสียด้วย สองคนอีกต่างหาก

ทองแท่งแอบคิดกังวลนิดๆ ในใจ

....

"ดูข้าวของเรียบร้อยหรือยัง หยก เก็บอะไรไปครบนะไม่ตกหล่นใช่ไหม"

เสียงทักถามทำให้คนที่กำลังสาละวนทำอาหารอยู่หันมายิ้มให้กับนาง แล้วเอ่ยตอบเสียงใส

"เรียบร้อยล่ะจ้ะป้าเพียร หนูทำข้าวต้มไว้ให้ กินกับปลาอินทรีทอดนะจ๊ะ แล้วก็มีผัดผักบุ้งด้วย ถ้าหยกทำไม่อร่อยอ่อนเค็มไปก็เติมเอานะจ๊ะป้า หยกทำอาหารไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ติดรสจืด ต้องให้แม่มาเติม กะไม่ค่อยถูก"

สมเพียรมองดูคนตัวเล็กบาง ที่เอ่ยออกตัว หน้าเป็นมันอยู่หน้าเตาอย่างเอ็นดู พลางค่อยๆ เดินข้างๆ มาเอามือไพล่หลัง มองดูหล่อนทำงานอย่างคล่องแคล่ว

"ป้าไม่ชอบกินเค็มเท่าไหร่หรอก หยกทำอาหารจืดๆ ดีแล้ว ป้าจะได้งดเค็ม หมอเตือนๆ อยู่"

"งั้นหยกไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวไปสาย อู่เปิดแล้วไม่มีคนช่วย"

หล่อนล้างมือล้างไม้ ก่อนจะทำท่าจะวิ่งออกจากตรงนั้น สมเพียรต้องยื้อมือไว้ แล้วยัดเอาอะไรบางอย่างใส่ในมือของกำไลหยก ที่มองหน้าผู้เป็นป้าก่อนจะทำตาปริบๆ

"อะไรจ๊ะป้าเพียร"

"เอาไปกินขนม มาอยู่ดูแลป้าตั้งหลายวัน"

"โอ๊ยไม่เอาหรอกจ้ะ หนูเป็นหลาน ก็ต้องมาดูแลอยู่แล้ว ไม่เอา"

เจ้าหล่อนทำท่าจะไม่รับ จนสมเพียรต้องขู่นั่นแหละ ถึงได้ยอมรับไป แล้วร่างเล็กนั่นก็คว้ากระเป๋าเป้ เดินแกมวิ่งไปโบกรถสองแถวที่ผ่านมา เพื่อกลับไปยังบ้านของหล่อน ที่อยู่ห่างจากบ้านของสมเพียรราวห้ากิโลเมตร

สมเพียรมองตามหลังหลานสาวคนเล็กของหล่อนอย่างนึกเอ็นดู กำไลหยก ลูกสาวของน้องสาวหล่อน ที่แต่งงานไปกับเจ้าของอู่อย่างเจ๊กฮวด ซึ่งสร้างเนื้อสร้างตัวกันขึ้นมาจากอู่สังกะสีแบบง่ายๆ จนตอนนี้มีกิจการใหญ่โต สมพรไม่ลืมพี่น้องที่มีเพียงหล่อนกันตามลำพังสองคน บิดามารดาเสียกันไปหมดแล้ว สมเพียรป่วยจนลุกทำงานของหล่อนที่เป็นร้านขายของชำไม่ไหว สมพรจึงส่งลูกสาวคนเล็กมาดูแลพี่สาว ลูกสาวคนเล็ก...ที่เหมือนของประดับชิ้นหนึ่งในบ้าน

นึกถึงตาแป๋วๆ ของกำไลหยกแล้วก็แอบถอนใจ นี่สมพรมาปรึกษาหารือ เรื่องจะหาผู้ชายให้กับลูกสาวคนเล็ก เห็นว่าคิ้มเพื่อนสนิททาบทามกำไลหยกให้กับลูกชาย หล่อนก็ค้านแล้ว ว่าอยากจะให้ผู้ชายมาลองพูดคุยทำความรู้จักกันก่อน อย่าไปบังคับขืนใจลูก ทว่าสมพรกลับหัวเราะ แล้วตอบออกมาว่า

'โอ๊ย พี่เพียร ขืนรอให้ทางนั้นมาทำความรู้จัก หรือลองจีบยัยหมวยเล็กมัน เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็คงจะไม่เอาลูกเราพอดีล่ะ'

'แหม ก็ให้คบกันไปก่อน คุยกันไปก่อนสิ ไปเร่งรัดทำไมล่ะพร ไปเร่งไล่ลูกไปมีครอบครัวทำไม เรื่องแบบนี้อย่าไปบังคับใจกันเลย อีกอย่างหยกมันน่ารักจะตายไป ทำไมถึงไปมองว่าผู้ชายเขาจะไม่เอาล่ะถ้ามาคุยกันทำความรู้จักกันก่อนแต่งน่ะ'

'ยัยหมวยเล็กมันซื่อๆ บื้อๆ วันๆ ขลุกแต่กับหนังสือ แต่กับต้นไม้ สวนอะไรของมันน่ะพี่เพียร เคยไปเดินเล่นเฉิดฉายอวดตัวที่ไหนกัน ใครจะมาจีบมามอง คุยก็ไม่ค่อยคุย วันๆ ยิ้มอย่างเดียว งานบ้านงานเรือนพอไปได้ แต่ก็ต้องจี้ต้องบอก เฮ้อ...นี่ยังดีใจที่ไม่รู้ว่าเค้ามาเห็นมันเข้ายังไง ถึงได้ติดอกติดใจ ลูกชายของคิ้มน่ะพี่เพียรชื่อฤกษ์ เป็นพ่อหม้ายแต่ไม่มีลูกติด หล่อ รวย ยัยหมวยเล็กจะได้พ้นอกไปแบบไม่ต้องห่วง'

คันปากอยากจะพูด ว่ามีลูกสาวอยู่กับเหย้ากับเรือนแล้วไม่ชอบหรือ? ชอบให้แรดๆ แถดๆ แบบพี่สาวหรือยังไง ก็พูดไม่ออก ได้แต่กลอกตา และหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะดีจริงๆ หวังว่าถ้ากำไลหยกไม่ชอบทางนั้นจะกล้าปฏิเสธจริงๆ

แต่นางเฉยอย่างหลานสาวนาง จะอ้าปากบอกปัดพ่อแม่ได้หรือเปล่านะนั่น

เฮ้อ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel