1.วังวนความแค้น ep1
ฝ่ามือเรียวบางยื่นมาปิดตาที่คมกล้าเบา ๆ ก่อนจะฝังปลายจมูกเล็กที่โด่งเป็นสันสวยงามลงยังแก้มที่เนียนเรียบแม้จะมีหนวดเคราขึ้นประปรายแต่ยังคงสภาพผิวที่นุ่มและเต่งตึงจนผิดสังเกต ทำให้ดวงหน้าเรียวสะอาดรีบชะโงกไปมองด้านหน้าของเจ้าของแก้มที่เต่งตึงและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของโคโลญจน์ผู้ชายทันที
“เอ๊ะ!..”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนไม่พอใจที่ใครคนนั้นหันมาตรงหน้าของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ด้วยความสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนฯ
“กล้าดียังมานั่งที่เก้าอี้ของคุณพ่อ..”
ความเก้อเขินอันตรธานหายไปสิ้นเมื่อตั้งสติได้แล้วเห็นชัดว่า เขาไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านหรือหวั่นไหวกับคำถามของเธอเลยสักนิด
“คุณคงเป็น เพชรไพลิน ลูกสาวคนเดียวของนายอรรถพงษ์สินะ..”
น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นอย่างกึกก้องกังวานแสดงถึงความแข็งแกร่งของหัวใจที่ไม่หวั่นเกรงใครของชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี ทำให้หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีต้องย่นคิ้วเมื่อกวาดสายตามองเครื่องหน้าที่คมขรึมดูหล่อเหลา สะอาดสะอ้าน แม้จะรุงรังไปด้วยหนวดเคราที่ยังไม่ได้สะสางบ้าง แต่ก็ช่วยส่งให้ดวงหน้าเข้มขรึมนั้นดูมีพลัง
ยิ่งผสานกับดวงตาที่คมกล้ากลมโตอย่างมีอำนาจก็ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเริ่มสั่นไหวกับพลังทางกระแสตาของเขาที่กวาดมองเครื่องหน้าที่หวานหมดจด ประกอบกับเรือนร่างบางอรชรในชุดเดินทาง เป็นเสื้อเชิ้ตสีสะอาดกับกางเกงสีเข้มขายาว รองเท้าบู๊ทครึ่งแข้งอย่างทะมัดทะแมง
เรือนผมยาวสยายผูกเป็นหางม้าไว้ทางด้านหลังเผยให้เห็นดวงหน้าที่งามกระจ่างเหมาะเจาะกับปากรูปกระจับ ปลายจมูกเล็กที่โด่งสวยงามกับดวงตาที่คมกริบเจือแววหวานอย่างน่ามอง
“ใช่..คุณเป็นใคร กล้าดียังไงมาอยู่ตรงนี้ แล้วคุณพ่อของฉันไปไหน..ฉันตระเวนหาไปทั่วไร่แต่ก็ไม่พบ คนงานบอกให้ฉันมาที่นี่..แต่ไม่นึกว่า จะพบคนแปลกหน้า..”
ชายหนุ่มกวาดสายตามองเรือนร่างบางกลมกลึงที่ดูเย้ายวนอรชรอ้อนแอ้นก่อนจะสยายรอยยิ้มแล้วกลายเป็นเสียงหัวเราะที่น่าฟัง แต่ทว่าเธอกลับรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่แรกเห็น อาจจะเป็นเพราะเขาถูกเธอหอมแก้มเพราะคิดว่าเป็นพ่อ แล้วเขาก็ทำทีท่าตีรวน ไม่แสดงความเคารพต่อเธอก็อาจจะเป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือกระแสตาของเขาที่จ้องมองเธอ มันเจือแววบางอย่างที่ทำให้เธอสงสัยและไม่พอใจ เพราะมันไม่ได้แสดงออกถึงความพึงพอใจในความสวยงามของเธอเหมือนชายคนอื่นที่ครั้นได้เห็นเธอจะตื่นตะลึงเพริศกับความสวยงาม
ทว่าสายตาของเขาฉายแววเชือดเฉือนระคนชิงชังและอยากเอาชนะอยู่ในที มันเป็นสายตาของคนที่ถูกบ่มเพาะด้วยไอแค้นและโทสะ จึงดูดุดันอย่างเห็นได้ชัด
“ผม..นายโภคาธร..กิติอุณกาญจน์”
เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างทระนง
“ฉันไม่รู้จัก..”
เขาก้าวมาหยุดใกล้เธออีกนิด เมื่อพิศมองเครื่องหน้าที่พริ้มเพรา
“ผม เข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะเจ้าของ..ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมต่อจากนายอรรถพงษ์ อัศวภักดี..”
สายตางามตวัดมองหน้าคมขรึมที่ดูหล่อสะอาดของเขานิ่ง
“คุณว่าอะไรนะ!!!..”
น้ำเสียงหวานหูแผดกังวานขึ้นอย่างฉันพลัน สีหน้าแสดงความกังขาระคนไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่โภคาธรยังคงนิ่งเฉยทว่าหัวใจกลับต้องหวั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อได้ยลโฉมสะคราญที่สวยงามมากกว่าที่เขาคิดหลายเท่าด้วยความพึงพอใจ
“หากหูคุณไม่มีปัญหา ก็ขอให้เชื่อในสิ่งที่คุณได้ยิน..ผมเข้ามารับช่วงต่อจากพ่อของคุณ..”
เขาก้าวมายังหน้าต่างของห้องทำงานที่เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงขึ้นมาหนึ่งเมตร เป็นเรือนไทยหลังเล็กที่นายอรรถพงษ์ให้ปลูกสร้างสำหรับมาตรวจงาน มีทั้งห้องทำงาน และห้องนอนที่ติดกันเพราะบางทีเขาก็อาจจะต้องมาค้างที่นี่แทนการกลับบ้านที่อยู่ห่างจากที่นี่กว่าห้ากิโลเมตร
เขากวาดสายตามองผ่านหน้าต่างไปยังพื้นดินที่เต็มไปด้วยพืชไร่มากกว่าสามร้อยไร่แห่งนี้ ที่เขาได้รับคำสั่งจากพ่อให้มาที่นี่เพื่อดูแลในฐานะเจ้าของ แล้วยังถูกกำชับมาว่า จะต้องกดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับนายอรรถพงษ์ให้จมดิน โทษฐานคดโกง
“มันถึงเวลาที่ผมควรจะเข้ามาดูแลที่ดินที่เคยเป็นสมบัติของตระกูลที่ถูกช่วงชิงมาอย่างน่าเกลียด..”
“ใครไปช่วงชิงที่ดินของคุณ พูดมาให้ดี ๆนะ..”
เธอก้าวเข้าประชิดร่างของเขาที่หันมาหาด้วยสีหน้าที่เครียดเคร่ง
“นอกจากจะฉวยโอกาสคดโกงที่ดิน ยังขโมยหญิงที่รัก ผู้ชายอย่างนี้ สมควรที่จะเป็นพ่อคนอีกหรือ สมควรที่จะได้ครอบครองผืนดินแห่งนี้อีกหรือ มันถึงเวลาที่จะต้องส่งคืนสู่เจ้าของได้แล้ว..”
“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ..”
เขาโน้มใบหน้าต่ำลงมาหาเธอด้วยความสูงที่ต่างกันเกือบสิบห้าเซนฯ
“ผมบอกแล้วไง หากหูคุณไม่มีปัญหา ก็จงเชื่อในสิ่งที่คุณได้ยินซะ จะได้ไม่ต้องถามย้ำ..มันน่ารำคาญ..”
เธอมองสบสานสายตากับเขาด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับคำพูดและท่าทางรวมทั้งสายตาของเขาที่จ้องมองมาอย่างหยามหมิ่น
“อยากรู้รายละเอียด กลับไปถามพ่อแม่ของคุณ..”
เขาเดินไปที่ประตูห้องพร้อมกับเปิดออกกว้างก่อนจะหันมาหาเธอที่ยืนกำมือแน่นด้วยความขุ่นเคืองใจอย่างมากล้น
“มาคราวหลัง หวังว่าคงไม่แสดงกิริยาแบบนี้ใส่ผมอีก ขอให้จำเอาไว้ว่า คุณอยู่ที่นี่ในฐานะคนอาศัยเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะเหยียบมาที่นี่ด้วยซ้ำ..”
เธอเดินมาเผชิญหน้ากับเขา
“ฉันขอสาบานไว้ตรงนี้เลยว่า แผ่นดินผืนนี้ ฉันจะต้องเอากลับคืนมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง ฉันจะเขี่ยคุณทิ้งเหมือนเขี่ยไส้เดือนตัวหนึ่งอย่างน่าขยะแขยง..”
“ผมจะรอ แต่อย่าช้านักล่ะ..เพราะผมเป็นคนขี้รำคาญ ไม่อยากรออะไรนาน ๆ..”
เขาสยายรอยยิ้มออกมา แม้มันจะเป็นรอยยิ้มของผู้ชายรูปหล่อที่ยิ้มได้อย่างสวยงาม ฟันที่สะอาดและสวยงามราวกับตัดมาต่อเรียงรายเข้าแถวกันอย่างมีระเบียบ แถมข้างแก้มทั้งสองมีรอยบุ๋มอย่างน่ามอง แต่ความขุ่นเคืองในใจของเธอมันเปรียบเหมือนเปลวไฟที่กำลังลุกโชน และรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่น่าฟังของเขามันเหมือนเชื้อไฟที่ชุบน้ำมันแล้วโยนใส่กองไฟนั้นให้โหมไหม้อย่างโชติช่วง
เพชรไพลินขบฟันแน่นริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันสายตามองเขาอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อก้าวผ่านร่างสูงใหญ่กำยำของเขาไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาคมที่โลมลูบไล้ไปทั่วสรรพางค์กายงามที่โสภาของเธอ มันทำให้เขานึกอยากจะเลาะเสื้อผ้าเนื้อดีออกมากจากร่างแล้วกวาดสายตาโลมไล้ให้ทั่ว