ตอนที่ 6 บังเอิญพบ
ตอนที่ 6 บังเอิญพบ
ทางด้านแม่ทัพหลี่กำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าภาพแผนที่ ซึ่งมีเทือกเขาสลับซับซ้อน และยังมีแม่น้ำไหลผ่านเส้นทางนี้อีกด้วย หากเคลื่อนทัพใช้พลข้ามน้ำไป คงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ดังนั้นแล้ว วันนี้จึงต้องวางแผนการให้รัดกุมอีกหนึ่งวันจะต้องกราบทูลรายงานนี้แก่หวงตี้
“ท่านแม่ทัพ วันนี้ท่านมีธุระสำคัญมิใช่หรือขอรับ” นายกองผู้หนึ่งกล่าวสอบถาม จำได้ว่าวันนี้แม่ทัพของตนต้องเดินทางไปเยี่ยมพ่อตานี่นา แต่เหตุใดจึงมาประชุมลับกันแต่เช้าตรู่
“อืม ก็แค่เยี่ยมตาเถ้าแก่ฟาง ไม่เห็นจะต้องให้ข้าไป” ชายหนุ่มตัดบทสนทนา ยังคงยืนทอดสายตามองแผนที่ ซึ่งติดกับผนังในห้องลับเอาไว้ แววตาของเขาค่อนข้างมีความกังวลใจ เหลือบซ้ายแลขวาก็พบว่า ค่อนข้างยากยิ่งนัก
มิน่าเล่ายามที่เขาเป็นรองแม่ทัพ ครานั้นท่านแม่ทัพหยางก็หาได้โจมตีกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้ ที่แท้ก็เพราะมีเทือกเขาน้อยใหญ่ ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย หากจู่โจมคงเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่ โชคดีนักยามนี้สงบเงียบมาพักใหญ่ แต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ อีกทั้งไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะมีแผนการใด
หากคิดยึดครองแคว้นเว่ยคงได้เห็นดี ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีแคว้นจ้าวที่ค่อนข้างรักความสงบ ภายในไร้คลื่นใต้น้ำ ซ้ำยังมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง หากกลุ่มโจรป่าพวกนั้น คิดยึดครองชายแดนด้านทิศเหนือก็คงยากเย็น
ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ารองแม่ทัพเฉินเดินเข้ามาพร้อมกับกุนซือหน้านิ่ง ทั้งสองต่างก็ขมวดคิ้ว ว่าเหตุใดสหายของตน จึงมายืนทึมทื่ออยู่ในห้องนี้ ด้วยความปากไวรองแม่ทัพเฉินกล่าวขึ้นพร้อมกับตีไหล่สหายเบา ๆ “อาฮั่ว วันนี้เจ้าไม่ต้องพาพี่สะใภ้กลับบ้านหรือไร ถึงได้มายืนบื้ออยู่ในห้องประชุม”
“นั้นนะสิ มิใช่ว่าเจ้ากับพี่สะใภ้ทะเลาะกันหรอกนะ” กุนซือโจวหลิ่วตามองยังสหายรัก
ชายหนุ่มผินหน้ามองมายังคนทั้งสอง เขากลับมีสายตาเยียบเย็นยิ่ง เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว “หาใช่กงการอันใดของข้า นางอยากกลับก็ให้กลับไปสิ”
“เพ่ย เพ่ย เจ้าบ้านี่ พี่สะใภ้เดินทางออกไกลเช่นนั้น เจ้ายังมาคิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าเรื่องอีก เรื่องมันผ่านมาแล้ว เจ้ายังนำมาใส่ใจอีกหรือ” เฉินหมิงไม่เข้าใจนัก เพราะมันมีแต่ได้กับได้ไม่มีเสีย เหตุใดสหายจึงทำราวกับว่าพี่สะใภ้ที่น่ารักอ่อนหวานไปสังหารผู้ใดเสียอย่างนั้น
“ข้าเปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธ แต่เขารู้ดีเป็นที่สุด ว่าทำไมกันวันนี้จึงไม่เดินทางไปกับนาง ก็เพราะไม่อยากพูดคุยสนทนากันสองต่อสอง นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ซ้ำยังต้องปั้นหน้ายิ้มแย้ม พูดคุยกับตาแก่จอมเจ้าเล่ห์อีก
“เจ้ากำลังโป้ปด” กุนซือโจวอยากยกกำปั้นของตนพุ่งไปยังท้องของสหายเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังรู้สึกเป็นห่วงพี่สะใภ้อีกด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้คงร้องไห้ น้ำตากลายเป็นสายเลือดแล้วกระมัง ช่างโชคร้ายนัก หลงรักผู้ใดไม่หลง ดันมาหลงเจ้าหน้านิ่งใจหยาบเช่นหลี่ฮั่ว
หลี่ฮั่วถูกคาดคั้นทางสายตาจากสหายรักทั้งสอง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน อีกทั้งยังร่วมจับดาบออกศึกด้วยกันอีกด้วย ด้วยเพราะรู้จักกันมาเกือบยี่สามปีแล้ว เป็นสหายกันตั้งแต่เข้าศึกษายังสถานศึกษาหลวง จวบจนสอบเข้ารับราชการทหารด้วยกัน นับว่าโชคดีนักมีสหายรู้ใจ แต่โชคร้ายคือสู่รู้ไปเสียทุกเรื่อง
ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งอีกครั้ง “ข้าหาได้โป้ปด เจ้าดูสิ บริเวณนี้หากเรานำทหารไปสิบห้าหน่วย จะเดินทางไปได้หรือไม่” เขาเบี่ยงเบนความสนใจ
“สิบห้าหน่วยจะไปอย่างไรกัน ข้าแนะนำว่าให้ปลอมเป็นพ่อค้าถึงจะดี” กุนซือโจวครุ่นคิดไม่หาย เขาจะวางแผนช่วยเหลือหลี่ฮั่วอย่างไรดี
“อีกอย่างขบวนพ่อค้าต้องมีคนของพวกมันด้วย ข้าว่านะพวกมันคงจะแฝงตัวอยู่ในบรรดาชาวบ้านแน่” เพราะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันสักทีเดียว ตัวนายใหญ่ของพวกมันเป็นผู้ใดกันแน่ก็ยากจะรู้
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ ข้าจะทูลรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบขึ้นอีกครั้ง จากนั้นไม่พูดพร่ำอันใดอีก เดินออกมาจากห้องลับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกุนซือโจวและรองแม่ทัพเฉินจัดการแทน
เฉินหมิงลืมเสียสนิทว่า เมื่อครู่ได้พบใครกันที่ตลาด นางยังฝากบอกอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบวิ่งตามสหายไป “อาฮั่ว เมื่อครู่ข้าลืมบอกเจ้าไป คุณหนูโม่บอกให้เจ้าไปพบที่โรงน้ำชา เห็นว่ามีของจะมอบให้”
“หลันเอ๋อร์คงน้อยใจข้าแย่ แต่งงานไม่ได้บอกนางก่อน” ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกไม่สบายใจนัก
“นางรู้ดีว่าเจ้ามีเหตุผล นางก็หาได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนสตรีนางอื่น” เฉินหมิงกล่าวจบก็เดินเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง
หลี่ฮั่วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้พบกับหญิงสาว นางน่ารักและร่าเริง ซ้ำยังเป็นน้องสาวที่เขาห่วงใยมากอีกด้วย นางคือหลานของแม่ทัพหยาง ครานั้นเขาเป็นแค่รองแม่ทัพหลี่ ได้พบหน้าดรุณีน้อยบ่อยครั้ง จนเกิดเป็นความสนิทสนมชิดเชื้อกันในที่สุด
ทางด้านหญิงสาวนามว่าโม่ไป๋หลัน ได้ยินว่าหลี่ฮั่วมีงานมงคล นางร้องไห้เสียใจจนผ่ายผอม เกือบตรอมใจก็ว่าได้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานกับสตรีผู้นั้น ดั่งคำสัญญาที่ให้ไว้กับเถ้าแก่ฟาง
นางรู้ข่าวเพียงแค่ไม่กี่วันก็เดินทางกลับมาไม่ทันเสียแล้ว ยามนี้จึงทำใจได้ในระดับหนึ่ง อยากมาพบสอบถามความให้กระจ่าง ว่าเขารักสตรีนางนั้นใช่หรือไม่ จึงยินยอมแต่งงานเช่นนี้
โม่ไป๋หลันนั่งคอยท่าอยู่นาน อยู่ในร้านน้ำชาต่างก็เป็นที่จับตามองของเหล่าบุรุษน้อยใหญ่ ชายหนุ่มแปลกหน้า ซึ่งมานั่งจิบน้ำชาพร้อมสหาย เห็นสาวงามแล้วถูกใจ จึงตัดสินใจเดินเข้ามาพูดคุย พร้อมกับนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ
“คุณหนูโม่ งดงามราวกับบุปผาสวรรค์ นับว่าวันนี้ข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน เช่นนั้นมื้อนี้ให้ข้าเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อได้หรือไม่” ชายหนุ่มใบหน้าคมคาย ดวงตาเรียวเล็ก รูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สะอาดสะอ้านหรูราคาแพงลิบลิ่ว เอ่ยวาจาหยอกเย้า กึ่งแทะโลมหญิงสาว
เพราะโม่ไป๋หลันไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก หญิงสาวนางนี้งดงามเป็นหนึ่งในแว่นแคว้น เสียดายนัก นางมักเล่นตัว ถือดีว่าเป็นหลานสาวของผู้บัญชาการกองทัพหลวง จึงไม่มีชายใดกล้ามาสนทนากับนาง
“ไม่จำเป็น ไสหัวไปซะ” น้ำเสียงดุดันดังมาจากด้านหลังของหญิงสาว พลันเสียงที่คุ้นเคยนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใดกัน นางฉีกยิ้มหวาน ลุกพรวดทันทีแล้วเกาะแขนหลี่ฮั่วเอาไว้แน่น
“พี่หลี่ คุณชายท่านนี้ข้ามิเคยรู้จักมักคุ้น แล้วเมื่อครู่เขายังพูดจาไม่ให้เกียรติข้าอีก” นางเสแสร้งแกล้งเป็นคนอ่อนแอ หวังให้หลี่ฮั่วปกป้องจากชายผู้ใจบาปหยาบช้า
“ข้าแค่ชวนนางไปรับอาหารด้วยกันสักมื้อ ไม่ให้เกียรตินางตรงไหนกัน หรือคิดว่าข้าจะทำมิดีมิร้ายนาง ข้ามิใช่คนใจทรามเหมือนอย่างที่นางกล่าวหา” ชายแปลกหน้ารีบลุกพรวดขึ้น พร้อมกับแก้ต่างให้ตนเอง ใบหน้าของเขาจึงซีดเผือด เพราะทราบดีว่าอีกฝ่ายที่ยืนจ้องเขม็งจะเอาเรื่องเขานั้นคือผู้ใดกันแน่
“หลันเอ๋อร์อยากไปหรือไม่” ชายหนุ่มผ่อนน้ำเสียงลงมา แล้วสอบถาม หากนางยินยอมเขาก็ไม่รั้งนางเอาไว้ได้ เรื่องของหนุ่มสาวไม่เข้าใครออกใคร พอมองออกว่าชายแปลกหน้าผู้นี้คงมีใจให้นางเป็นแน่
“พี่หลี่เหตุใดจึงถามข้าเช่นนี้ สตรียังไม่ออกเรือนจะไปไหนมาไหนกับชายอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ถ้อยคำหวานเอ่ยต่อว่า แต่หารู้ไม่ว่านางเองต่างหากที่ยืนเกาะแขนของสามีผู้อื่นเข้าให้
น้ำเสียงของโม่ไป๋หลันดังไม่เบา และนางก็เป็นโฉมงามล่มแคว้น ผู้คนจึงให้ความสนใจนางไม่น้อย และสตรีนางหนึ่งก็ยังให้ความสนใจอีกด้วย
เสี่ยวเถาไปเข้าห้องน้ำ เดินกลับมายังโรงน้ำชาชั้นล่าง ก็พบว่าแม่ทัพหลี่ควงกับสาวงาม เมื่อครู่คุณหนูของนางยังเอ่ยชื่นชมอยู่เลย แต่เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้เล่า เสี่ยวเถาจึงร้อนใจนัก รีบวิ่งขึ้นบันไดชั้นสอง เพื่อไปแจ้งแก่นายสาว
ทว่าไม่ทันการณ์ ฟางเจียวเหมยได้ยินน้ำเสียงของเขาก็จดจำได้ขึ้นใจ จึงลุกจากเก้าอี้ เดินมายังระเบียงแล้วมองลงมา ปรากฏว่าเป็นเขาจริง ๆ นางยืนพิงขอบระเบียงด้วยสายตาแห่งความเจ็บปวด มองเห็นพวกเขาทั้งสองอย่างชัดเจน
“คุณหนูเห็นแล้ว” เสี่ยวเถาอุทานเบา ๆ มองดวงหน้าของนายสาวหัวใจดวงน้อย ๆ ของสาวใช้พลันห่อเหี่ยว เพราะแววตาของคุณหนูดูโศกเศร้านัก คงคิดมากเป็นแน่
“อืม...ข้าเห็นแล้ว” ฟางเจียวเหมยมารับน้ำชาที่ร้านนี้ก็เพราะว่า ขนมร้านกุยฮวานั้นขึ้นชื่อนัก จึงอยากนำไปฝากน้องสามแต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะพบกับสามีโดยบังเอิญ
เรื่องสำคัญของเขาคือสตรีนางนี้สินะ
ฟางเจียวเหมยรับขนมและจ่ายเงินให้เสี่ยวเอ้อร์ จึงเดินลงมายังชั้นล่างของโรงน้ำชากุยฮวา นางคิดอยู่อึดใจหนึ่ง คิดว่าไปทักทายเขาสักนิดก็ยังดี เมื่อเดินไปใกล้ ๆ กับคนทั้งคู่แล้ว จังหวะนั้นเองหลี่ฮั่วนั่งหันหลัง เบื้องหน้าของเขาคือโม่ไป๋หลัน
โม่ไป๋หลันกำลังสอบถามว่าทำไมถึงแต่งงานรวดเร็วเช่นนี้ หลี่ฮั่วจึงตอบไปตามความจริงว่า “เดิมทีข้าก็ถูกตาแก่ฟางนั้นหลอกให้ทำสัญญา แต่ไม่คิดว่าในสัญญาจะระบุให้ข้ารับนางเข้ามาเป็นฮูหยิน ข้าจึงจำใจแต่งนางเข้าจวน”
ทว่าโม่ไป๋หลันจดจำได้ว่า สตรีที่เดินเข้ามาคือใครกันแน่ นางก็คือฟางเจียวเหมย เพราะเคยพานพบสตรีนางนี้มาก่อน จึงจดจำได้ทันทีที่ได้พบหน้า
ฟางเจียวเหมยได้ยินชัดเต็มสองรูหู จึงชะงักงันเข้าให้ เสี่ยวเถามองไปยังทั้งสองที่พูดคุยไม่ทราบว่า พวกนางได้ยินอันใด ห่วงก็แต่ความรู้สึกของคุณหนูเท่านั้นที่ได้มายินคำพูดไม่น่าฟังเช่นนี้
“พี่หลี่ ข้า...เห็นใจท่านจริง ๆ ตาแก่ผู้นั้นเจ้าเล่ห์นัก แล้วท่านเอ่อ...เอ่อ...คิดจะหย่ากับนางเมื่อไรเจ้าคะ” โม่ไป๋หลันจึงเข้าประเด็นแสนร้ายกาจทันที เพื่อให้ฟางเจียวเหมยหย่าร้างกับหลี่ฮั่วเสีย ครานี้นางย่อมไม่ปล่อยให้ชายในดวงใจตกไปอยู่ในมือของผู้ใดได้นอกจากนางเพียงผู้เดียว
“หากนางทนไม่ได้ก็คงจะหย่าไปเอง อยากอยู่ในฐานะฮูหยินข้าก็ยกให้แล้ว นางอยากจะไปหรือไม่ ข้าก็ไม่คิดรั้งเอาไว้”