บทที่ 1 ความอดทนของคนเป็นแม่ 1
5 ปีต่อมา
เสียงทะเลาะวิวาทดังออกมาจากบ้านไม้ชั้นเดียวกลางชุมชนเล้าเป็ด แม้ว่าเสียงที่ทุกคนได้ยินจะเป็นที่ชินชา แต่สำหรับบ้านใกล้เรือนเคียงคือความรำคาญอย่างหนึ่ง ที่แม้ว่าหลายบ้านจะตักเตือนบ้านต้นเสียงให้ลดเสียงและการโต้เถียงภายในครอบครัวลงบ้าง ทว่าก็ไม่เป็นผล ชาตรีเจ้าของบ้านด่ากลับด้วยถ้อยคำหยาบคาย ผสมโรงกับละมุดคนเป็นเมียที่ช่วยสามีด่าชาวบ้านจนเป็นที่ระอา ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว
บ้านที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นบ้านข้างเคียงทั้งซ้ายและขวา ไม่ว่าจะยามเช้า สาย บ่ายเย็นรวมถึงรอบดึกก็ต้องได้ยินเสียงภาษาดอกไม้ของสองผัวเมียที่ด่ากันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ยิ่งตอนคนเป็นสามีเมา ไม่ได้มีแค่เสียง แต่มีการตบตีกันด้วย ตามด้วยเสียงปาข้าวของแตกกระจาย
“รำคาญสองผัวเมียคู่นี้จริงๆ ทะเลาะกันได้ทุกวัน สมองฉันคิดอะไรไม่ออกก็เพราะบ้านหลังนี้นี่แหละ วางเพลิงดีไหมเนี่ย”
เอกอนันต์ยืนริมหน้าต่าง มองไปยังข้างบ้านที่มีเสียงทะเลาะดังข้ามบ้านมากระทบกับหู ทำให้เขาเสียสมาธิในการทำงานไม่น้อย
“แจ้งตำรวจดีไหม ให้มาจัดการซะหน่อย จะได้ลดการทะเลาะลงบ้าง” แฟรงค์แนะนำ
“แจ้งไปก็แค่นั้น พอตำรวจมาหยุดทะเลาะ ตำรวจพ้นบ้านไปไม่กี่นาทีก็เริ่มใหม่ ฉันว่าจะ ทะเลาะกันทุกวันแบบนี้ เลิกๆ กันไปเลยดีกว่า” ชาวบ้านหลายคนเคยทำอย่างที่แฟรงค์พูด ทว่าก็เป็นแบบเดิม
“ทนมาได้ตั้งหลายปี เอกก็ทนต่อไปก็แล้วกันนะ ทำไงได้ล่ะ บ้านเราอยู่นี่นี่นา จะย้ายไปไหนได้” ผู้พูดคือดวงดาราที่กำลังยืนรีดผ้า ไม่ใช่ว่าหล่อนจะไม่รำคาญ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากอดทน “เอกก็คิดสิว่า เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงจากสวรรค์ก็แล้วกัน”
“โอ๊ย! พูดง่ายนะแม่คุณ ฉันว่านะ เสียงจากนรกมากกว่า หนวกหูชะมัด” เอกอนันต์บ่นต่อ “ใครจะมีความอดทนเท่าแกล่ะ นอกจากจะเอาหูเอานาเอาตาไปไร่ได้แล้ว ยังทนให้นังเมญ่าโขกสับอย่างกับเป็นขี้ข้าอยู่ได้ สักวันนึงเถอะฉันจะตบมันให้กระจุยไปเลย หนอย...มาว่าแกว่าเป็นขี้ข้ามัน”
เอกอนันต์ยังจำคำพูดของเมญ่า ดารานักแสดงและนางแบบชื่อดังของเมืองไทยได้ดี คืนนั้นประมาณห้าทุ่มครึ่ง เขาเลิกงานและรู้ว่า ดวงดาราเพื่อนสนิทอยู่กองถ่ายใกล้กับที่ตนทำงาน เขาจึงไปหาดวงดาราที่กองถ่ายเพื่อจะได้กลับบ้านด้วยกัน แต่พอไปถึงก็พบว่า เมญ่าถ่ายซีนสุดท้ายเสร็จพอดี เอกอนันต์จึงบอกให้ดวงดารากลับบ้านเพราะหมดหน้าที่หล่อนแล้ว ทว่าเสียงแหลมของเมญ่าดังขึ้นเสียก่อน
“ลิซยังไปไหนไม่ได้ จะไปได้ก็ต่อเมื่อฉันให้ไป อีกอย่างลิซเป็นขี้ข้า เป็นคนรับใช้ส่วนตัวของฉันก็ต้องดูแลฉันจนกว่าฉันจะขึ้นรถกลับบ้าน”
เอกอนันต์ชายใจหญิงแทบอยากจะเข้าไปตบปากเมญ่า ถ้าไม่เจอกับตัวจะไม่เชื่อเลยว่า เมญ่าบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของประเทศจะจัดอยู่ในประเภท สวยแต่รูปจูบไม่หอม ทั้งวาจาและการกระทำของเมญ่าเหมือนคนไม่มีการศึกษา ไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอน นิสัยและคำพูดตรงกันข้ามกับแสดงออกต่อสาธารณชนอย่างสิ้นเชิง ทว่าดวงดารากลับห้ามไว้แล้วให้เขาไปรอด้านนอก
“เอาน่าแก ถึงยังไงเมญ่าก็มีบุญคุณกับฉัน เมญ่าว่าอะไรฉันก็แค่ทำเป็นไม่ได้ยิน มันก็ไม่มีเรื่องใช่ไหม จริงๆ แล้วเมญ่าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีไปสักทุกเรื่อง เธอก็ยังมีน้ำใจให้ฉันหลายครั้ง เสือกับสิงห์ไม่สบาย เธอยังให้เงินพาสองแฝดไปหาหมอ ที่เมญ่าพูดไม่ดีวันนั้นเพราะเธออารมณ์ไม่ดี”
ดวงดาราพยายามพูดถึงเมญ่าในทางที่ดี ทั้งที่ในความเป็นจริงหาแทบไม่ได้
“แกก็ออกรับแทนเมญ่าตะพรึด” เอกอนันต์ทำเสียงสะบัดใส่ “ฉันว่านะ แกหางานใหม่เถอะ ความรู้แกก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี จบปริญญาตรีมาจากฝรั่งเศส ภาษาก็แน่น จะมาเป็นที่รองรับอารมณ์เมญ่าทำไม เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ใช่ว่าจะมากมาย แถมต้องทำงานตั้งแต่เช้ายันมืด เป็นฉัน ฉันลาออกนานแล้ว”
“ฉันจบมาตั้งหลายปีแล้วนะ จะไปสู้เด็กที่จบมาใหม่ๆ ได้ไง ที่สำคัญเมญ่ามีบุญคุณกับฉันด้วย ถ้าไม่ได้เมญ่าช่วยฉันในคืนนั้น ฉันคงตายไปแล้ว”
ดวงดารายังจำเหตุการณ์คืนนั้นได้ดีแม้ว่าจะผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วก็ตาม ตอนนั้นหล่อนยังอาศัยอยู่บ้านเช่ากลางชุมชนแห่งหนึ่ง และทำงานในโรงงานใกล้บ้านตำแหน่งพนักงานบัญชี ความที่วันนั้นเป็นวันสิ้นเดือน ดวงดาราต้องทำบัญชีให้เสร็จตามคำสั่งของผู้จัดการ กว่าจะเสร็จทุกอย่างก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มครึ่ง ดวงดาราเดินทางกลับบ้านทันทีที่เสร็จงาน ระยะห่างจากโรงงานถึงบ้านประมาณสี่กิโลเมตร ใช้รถประจำทางในการเดินทางซึ่งมีอยู่สายเดียว และหมดเที่ยวสุดท้ายเวลา 22.40 น.
ดวงดาราไม่ทันรถประจำทางเที่ยวสุดท้าย หล่อนจึงใช้บริการแท็กซี่ด้วยความจำใจเพราะเสียดายเงินที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ทว่ามันไม่มีทางเลือก เหมือนโชคไม่เข้าข้าง รถแท็กซี่ที่หล่อนโดยสารมาในคราบโจรที่ชิงทรัพย์ผู้โดยสาร แล้วหล่อนก็เป็นเหยื่อรายแรกของคนขับแท็กซี่ที่เพิ่งออกจากคุก
คุณแม่ลูกสองจำเส้นทางกลับบ้านได้ดี เส้นทางที่แท็กซี่พาไปไม่ใช่ทางไปบ้านของตน หล่อนจึงทักท้วง คำตอบที่ได้รับคือ พาไปทางลัด ทางลัดที่ว่า เป็นทางค่อนข้างเปลี่ยว หล่อนเริ่มหวาดกลัว แล้วอยู่ๆ รถแท็กซี่ก็จอดท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงไฟหน้าของรถแท็กซี่ที่ส่องสว่าง
ดวงดาราไม่รอช้ารีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งออกไปทันที คนขับแท็กซี่ก็ไวไม่แพ้กัน วิ่งตามดวงดาราและวิ่งทัน หล่อนถูกกระชากด้วยมือหยาบกร้านของคนชั่ว ดวงดาราดิ้นสุดแรง พยายามหาทางเอาตัวรอด ทั้งมือและเท้าตวัดไปโดนตัวชายนิสัยเลวไม่เลือกที่ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล
ขณะที่ดวงดาราอยู่ในนาทีฉุกเฉิน แสงไฟจากรถอีกคันหนึ่งที่สวนทางมาก็ส่องสว่าง เสียงแตรดังสนั่นถนน โชเฟอร์ขับแท็กซี่ตกใจ เห็นว่ามีคนมาจึงรีบผละจากร่างดวงดารา ก้าววิ่งขึ้นรถแท็กซี่ จากนั้นก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
คนที่ถามคือเจ้าของรถยนต์หรูที่ก้าวลงมาจากรถ วิ่งมาหาดวงดาราพร้อมกับพี่โก้ ผู้จัดการส่วนตัว
“มันทำอะไรเธอไหม” โก้ถามอีกคน ดวงดาราเอาแต่ร้องไห้ ส่ายหน้าเป็นคำตอบ โก้จึงเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืน “โชคดีนะที่ฉันกับเมญ่ามาทัน ไม่งั้นเธอแย่แน่ๆ เลย”
“นั่นสิ ทางนี้ยิ่งเปลี่ยวๆ อยู่ด้วย ฉันว่า เราไปขึ้นรถกันเถอะ ยืนอยู่อย่างนี้ไม่ปลอดภัย” เมญ่า ดาราและนางแบบชื่อดังบอก “บ้านเธออยู่ไหน ฉันจะไปส่ง”
โก้เงยหน้ามองเมญ่า เขาแปลกใจกับความใจดีของเด็กในสังกัด ที่เขารู้นิสัยดีว่าเป็นอย่างไร เมญ่าไม่เคยช่วยเหลือใครถ้าไม่ได้ประโยชน์
“เธอจะไปส่งผู้หญิงคนนี้ที่บ้านจริงเหรอ” โก้ถามอย่างไม่แน่ใจ
“ก็จริงน่ะสิ ปล่อยไว้อย่างนี้เดี๋ยวได้ถูกลากไปทำมิดีมิร้ายอีกหรอก คราวนี้ใครจะช่วยล่ะ” เมญ่าตอบกลับ “ขึ้นรถเถอะพี่โก้ เมญ่าไม่อยากอยู่ตรงนี้นาน”
ว่าแล้วทั้งสามก็รีบเดินกลับไปที่รถ ก่อนที่เมญ่าจะบึ่งรถออกจากซอยเปลี่ยวทันที ถ้าไม่ติดว่า บ้านที่หล่อนมาถ่ายทำละครอยู่ในซอยนี้ เมญ่าไม่มีทางนำพาตัวเองมายังสถานที่น่ากลัวเช่นนี้แน่
เหตุการณ์วันนี้จึงเป็นวันที่ดวงดาราจำไม่ลืม หล่อนสำนึกในบุญคุณของเมญ่ากับโก้ที่เข้ามาช่วยเหลือตน หากเมญ่าไม่ตัดสินใจบีบแตร ทั้งที่โก้ห้ามไว้เพราะเกรงว่า ภาพที่เห็นจะเป็นการแสดง พอมีใครเข้าช่วยก็จะเข้ามาปล้นชิงทรัพย์ ทว่าเมญ่าไม่ได้คิดเช่นนั้น หล่อนบีบแตรลั่นจนคนร้ายตกใจ
ในระหว่างทางที่เมญ่าไปส่งดวงดาราที่บ้าน ทั้งสามได้พูดคุยกัน เมญ่าชวนดวงดารามาทำงานกับตนในตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัว ที่ต้องช่วยสากกะเบือยันเรือรบ หรือตามคำสั่งของเมญ่า โดยเมญ่าเสนอเงินเดือนให้มากกว่าที่ดวงดาราทำอยู่เท่าตัว โน้มน้าวว่า ถ้าทำที่เก่า เลิกดึกดื่นก็คงต้องเจออย่างเช่นวันนี้ ความที่ดวงดารานึกถึงบุญคุณ และเห็นว่ารายได้ดีกว่าที่เก่า รวมถึงกลับบ้านดึกดื่นก็ไม่มีความปลอดภัยจริง หล่อนจึงยอมเป็นเบี้ยล่างเมญ่านับตั้งแต่นั้น
“เอาเถอะ ฉันพูดยังไงแกก็ยังทำงานกับเมญ่าอยู่ดี ก็แล้วแต่แกก็แล้วกัน” เอกอนันต์คร้านจะพูด จึงปล่อยตามใจเพื่อนรัก
“วันนี้คงกลับมืดใช่ไหม สิบโมงแล้วยังไม่ไปคอนโดเมญ่า” แฟรงค์คนรักของเอกอนันต์ถาม
“ใช่พี่แฟรงค์ วันนี้เมญ่าให้ลิซไปถึงโน่นตอนบ่าย” ดวงดาราตอบ
“ไม่ต้องห่วงลูกนะ พี่ดูให้” แฟรงค์ไม่เพียงเป็นคนรักของเอกอนันต์ เขายังเป็นพี่ชายที่แสนดีของดวงดารา และเป็นสามีในนามเพื่อไม่ให้หล่อนถูกตราหน้าว่าลูกไม่มีพ่อ นั่นหมายความว่าเขาคือพ่อบุญธรรมของเตชินท์และเตมีย์ ลูกชายฝาแฝดของหล่อน แฟรงค์เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยหลังจากพ่อกับแม่หย่ากัน เขาไม่ได้เป็นเพียงสามีในนาม แต่เป็นสามีที่ถูกต้องตามนิตินัย
การจดทะเบียนสมรสระหว่างแฟรงค์กับดวงดาราเกิดขึ้นในวันที่มารดาของแฟรงค์ป่วยหนักและต้องการเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา ซึ่งคนกำลังป่วยหนักไม่รู้เลยว่า ลูกชายของตนเป็นเกย์ รักเพศเดียวกัน ประจวบเหมาะกับดวงดาราตั้งครรภ์โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ เอกอนันต์ที่เป็นคนรักของแฟรงค์และเป็นเพื่อนสนิทของดวงดาราจึงออกความคิดเห็น ให้ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
แฟรงค์พาดวงดาราไปหามารดาในฐานะเมีย ส่วนดวงดาราก็มีพ่อของลูก แม้ว่าจะในนามก็ตาม หลังจากพาดวงดาราไปหามารดาของแฟรงค์ได้เพียงห้าวัน นางก็เสียชีวิตลง ทว่าแฟรงค์กับดวงดาราก็ยังไม่หย่ากันจนถึงทุกวันนี้
“ขอบคุณค่ะพี่แฟรงค์ ลิซจะรีดผ้าของพี่ให้เรียบเลยค่ะ ไม่มียับสักนิด”
“แสดงว่าแกจะรีดของฉันไม่ดีใช่ไหม” เอกอนันต์โวยเล็กน้อย
“ของแกถ้ารีดไม่เนี้ยบ แกบ่นฉันหูชาแน่ๆ ของแกต้องพิเศษสิ เพราะแกเพิ่งซื้อจักรยานให้เสือกับสิงห์ ถือว่าฉันตอบแทนแกไง”
“ย่ะ แม่คนขี้งก” เอกอนันต์ว่าเพื่อน “พี่แฟรงค์ เย็นนี้พาเสือกับสิงห์ไปกินไก่เคเอฟซีกันดีกว่านะ สองแสบบ่นอยากกินหลายวันแล้ว”
“เอาสิ พี่ว่าจะซื้อหนังสือภาษาอังกฤษให้สองแสบด้วย หัดพูด หัดอ่านก็ต้องหัดเขียนด้วยถึงจะครบสูตรจะได้เก่งๆ”
แฟรงค์เป็นลูกครึ่ง เขาพูดภาษาสากลได้จึงสอนให้เตชินท์กับเตมีย์พูดภาษาดังกล่าวตั้งแต่เล็ก ดวงดาราเองที่เก่งภาษาฝรั่งเศสก็สองลูกชายพูดเช่นกัน สองแสบประจำบ้านจึงพูด ฟังและอ่านภาษาสากลได้ระดับหนึ่ง ส่วนภาษาฝรั่งเศสก็กำลังกระเตาะกระแตะตามประสาเด็ก
ดวงดาราที่ยืนรีดผ้าได้ยินคำพูดของสองหนุ่มแล้วยิ้ม หล่อนย้อนคิดไปถึงวันที่ตนเองไปหาเอกอนันต์ที่บ้านแล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง เพื่อนรักรีบโอบกอดและช่วยเหลือหล่อนทันที ไม่ถามอะไรมากความ ให้หล่อนมาอยู่ร่วมบ้านด้วยนับตั้งแต่นั้น ทั้งที่ฐานะของเอกอนันต์ไม่ได้จัดว่าร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยคิดขับไล่ตนไปไหน ไม่เหมือนกับบิดาที่ขับไล่ตนอย่างกับหมูกับหมา แต่ก็เข้าใจชลิต หล่อนไม่เคยคิดโกรธบิดาเลย เสียใจที่ตนทำให้บิดาผิดหวัง
คุณแม่ลูกแฝดคิดว่า แฟรงค์กับเอกอนันต์คือครอบครัวของตน ที่อดทนสู้กันมาตลอดระยะเวลาหลายปี แม้จะไม่ร่ำรวยล้นฟ้า ไม่ได้มีเงินใช้เหลือเฟือ แต่มีเพียงแค่นี้ ดวงดาราก็สุขใจเป็นที่สุด