บทที่ 14
“ผมเห็นจะไม่ใช้คํานั้นเรียกความสัมพันธ์แบบนี้หรอกนะ” เขาพูดยิ้ม ๆ
“แต่มันก็เป็นความผิดอย่างแน่นอน เราเองต่างก็รู้อยู่ ว่ามันไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะข้องเกี่ยวผูกพันกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน มันเป็นประสบการณ์ที่ผิดพลาดซึ่งฉันเคยผ่านพบมาแล้วครั้งหนึ่ง”
“งั้นผมขอเดาหน่อยนะ ว่าคู่รักของคุณจะต้องเป็นช่างกล้องอย่างแน่นอน” ฮิวจ์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความแปลกใจของเธอ “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ผมสังเกตเห็นอยู่ ว่าผู้หญิงที่อยู่ในวงการโทรทัศน์ส่วนใหญ่มักจะมีคู่รักเป็นช่างกล้องเสมอ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าช่างกล้องมีเสน่ห์อะไรมากมายนัก แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เห็น ๆ กันอยู่ อยากจะเล่าให้พ่อเฒ่าฮิวจ์ฟังบ้างไหมล่ะ” เขาพูดอย่างติดตลก
“อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรให้เล่ามากนักหรอกค่ะ สรุปได้เพียงแค่ว่ามันไม่ประสบความสําเร็จเท่านั้น เขามีความรู้สึกว่างานที่เขาทําอยู่มีความสําคัญมากกว่างานของฉัน...
“แล้วในที่สุดมันก็ถึงเช้าวันหนึ่งที่ฉันตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกับความรู้ที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแหลกสลายลงแล้ว ฉันเป็นฝ่ายขอเลิกกับเขาก่อนมันก็เลยทําให้การทํางานที่สถานีค่อนข้างอีหลกอีเหลื่อเต็มที”
“เรื่องมันเกิดขึ้นที่ไหนล่ะ”
“ไอโอว่าค่ะ หลังจากนั้นอีกสองเดือนฉันก็ได้รับการเสนอให้ไปทํางานในเซ้นท์ หลุยส์ ซึ่งฉันตอบรับด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น...” เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา “ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ ฉันอยากให้คุณถือฉันเป็นเพื่อนคนหนึ่งมากกว่า หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคะฮิวจ์”
“ตกลง เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
เขากับเธอสัมผัสมือกันอย่างแนบแน่น...
ในตอนนั้น เขาคิดเอาเองว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับเธออีกแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาจะให้ความสนับสนุน แต่ไม่สามารถจะร่วมหลับนอนกับเธอได้ ฮิวจ์บอกตัวเองว่าเขาจะต้องปล่อยเวลาให้เธอคลายความสงสัยในตัวเขาสักระยะหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวิธีการใหม่ด้วยการโทรศัพท์ถึงเธออย่างสม่ำเสมอ แสดงออกถึงความชื่นชมความสนใจในความก้าวหน้าด้านการทำงานของเธอ เขาถือว่าเธอเป็นสมบัติอันมีค่าชิ้นหนึ่งที่เขาเป็นผู้ค้นพบ แสดงออกถึงความชื่นชมในความสามารถ การพัฒนาตนเอง ความขยันขันแข็งและความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับงาน
ฮิวจ์รู้ดีว่า ถ้าเขามีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเคลลี่ แน่นอนที่สุดที่เขาย่อมจะไม่เสนอชื่อเธอในฐานะผู้จัดรายการที่มีความสำคัญนี้ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะเคลลี่เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมทุกประการ
“...แล้วคุณมีความคิดเห็นยังไงกับแนวความคิดทั้งหมดที่ฉันพูดมาล่ะคะ” เสียงเคลลี่เอ่ยถามขึ้น
“ผมว่าเป็นความคิดที่น่าสนใจมากทีเดียวนะ อย่าลืมนําเสนอต่อที่ประชุมด้วยก็แล้วกัน”
บริกรเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อรินไวน์เดิมลงให้ในแก้ว แต่เคลลี่ยกมือขึ้นปิดปากแก้วของตัวเองได้ เธอจํากัดการดื่มไวน์ของตัวเองเพียงแค่หนึ่งแก้ว ฮิวจ์ไม่เคยเห็นเคลลี่ดื่มไวน์เกินกว่าสองแก้วนับแต่รู้จักกันมา ขณะเดียวกันเธอก็ยังจํากัดอาหารที่รับประทานเข้าไปด้วย ไก่อบไวน์ในจานยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง แต่กระนั้นเคลลี่ก็ยังออกปากชมกับบริกรว่าเป็นอาหารจานที่รสชาติอร่อยมาก
ขณะดื่มกาแฟ เขากับเธอก็คุยกันเรื่องรายการใหม่ที่จะนําเสนอ ต่างฝ่ายต่างแสดงแนวความคิดของตนออกมาอย่างหลากหลาย ในที่สุดฮิวจ์ก็เรียกบริกรมาคิดเงินหลังจากนั้นจึงได้พาเธอไปส่งบ้าน
กว่าเคลลี่จะถึงบ้านก็เกือบตีสองเข้าไปแล้ว อพาร์ตเม้นท์เล็ก ๆ แห่งนั้น เคลลี่ได้ตกแต่งเสียใหม่ด้วยฝีมือของตนเอง และป้องกันเพื่อความเป็นส่วนตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้
เธอหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสูดกลิ่นหอมของน้ำมันผสมมะนาวที่บอกให้เธอรู้ ว่าวันนี้ออเดรย์ได้เข้ามาทําความสะอาดบ้านไว้ให้อย่างเรียบร้อย ไม่มีกลิ่นเหม็นอับของควันบุหรี่ กลิ่นหอมเทียนของเหล้าที่ระเหยออกมาจากขวดเปล่า กลิ่นทั้งสองนี้เป็นกลิ่นที่เธอพยายามหลีกลี้ให้ไกลที่สุดมานานนักหนาแล้ว
เคลลี่ล็อคกุญแจสามชั้นอย่างแน่นหนา เมื่ออุ้งมือสัมผัสกับล็อคอันสุดท้ายนั้นมันอ้อยอิ่งอยู่ สายตาจับอยู่กับความมันวาวของลูกบิด เธอกําลังมองเห็นลูกบิดประตูอีกอันหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกันนี้...
ในยามนั้นที่เธอกลับเป็นเด็กหญิงวัยสิบขวบอีกครั้ง เด็กหญิงผู้มีความมั่นใจในตนเองขณะกระชับไขควงในมือไว้แน่นพยายามจะใส่ล็อคประตูห้องนอนของตัวเอง...
ปลายแหลมคมของไขควงหลุดเลื่อนออกจากประตูเกลียว เธอสุดลมหายใจลึกกับร่องรอยที่เจาะลงในเนื้อไม้ มันเป็นลมหายใจที่ระบายผ่านไรฟันที่ขบแน่น เด็กหญิงใช้ไหล่ข้างหนึ่งดันบานประตูไว้ขณะที่ตั้งหน้าตาหมุนตะปูควงให้ติดแน่นกับเนื้อไม้
ทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาตามทางวิ่ง เด็กหญิงก็รีบร้อนทํางานด้วยความตื่นตระหนกเพื่อจะให้ลูกบิดประตูเข้าที่ บอกกับตัวเองอยู่ว่าจะต้องทําให้เสร็จก่อนหน้าที่ “เขา” จะเข้ามาในบ้าน
ทันทีที่งานชิ้นนั้นสําเร็จลุล่วงลง เด็กหญิงก็ถอยห่างออกมาสํารวจผลงานจากฝีมือของตนอยู่ ไม่ใช่ด้วยความพอใจแต่เป็นโล่งใจ นับแต่นี้เป็นต้นไป ห้องนอนจะเป็นที่หลบภัยอย่างดีสําหรับเธอตลอดไป เป็นสถานที่ซึ่งเธอสามารถจะเข้ามาซ่อนตัวอยู่ได้ปลอดภัย...รอยยิ้มอ่อน ๆ ฉาบขึ้นบนใบหน้าเมื่อย้ำเตือนกับตัวเองอยู่ว่า...บัดนี้เธอปลอดภัยจากความดุร้ายในยามเมาของ “เขา”
หรืออย่างน้อยเธอก็เชื่อว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น...เคลลี่หลับตาลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนวันนั้น...อีกครั้งหนึ่งที่หูยังแว่วเสียงทุบประตูสนั่นหวั่นไหว เสียงขยับลูกบิดประตูอย่างกราดเกรี้ยว เสียงตะโกนด่าด้วยความคั่งแค้นเมื่อประตูไม่ยอมเปิดตามความต้องการ และแล้ว...ก็ติดตามมาด้วยเสียงโครมครามตอนที่ประตูพังลงด้วยแรงกระแทก...
เธอนั่งซุกตัวด้วยความหวาดกลัวจับใจอยู่ตรงมุมเตียงเอาผ้าห่มตัวไว้ขณะจรดจ้องมองลูกบิดประตูด้วยอาการหวาดหวั่นตื่นตะลึง ริมฝีปากแห้งผาก คอแห้งจนกลืนน้ำลายไม่ลง แม้แต่เสียงก็ยังไม่อาจหลุดลอดออกมาได้
ทันทีที่ประตูพังโครมลง เคลลี่ก็ได้สํานึกว่าเธอไม่ควรทําในสิ่งนี้ ไม่ควรจะใส่ล็อคประตูเลย เขากําลังบ้าคลั่งกับความผิดที่เธอได้กระทําลงไป เธอเบิกตาโพลงเมื่อร่างของเขายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าประตูบานนั้น
“แกใส่กุญแจประตูงั้นเรอะ...” เสียงอ้อแอของเขาบอกให้รู้ว่ากําลังเมามากเพียงไร
“หนู...หนูไม่ได้ตั้งใจ...จริง ๆ นะคะ...หนูไม่ได้ตั้งใจ...”
“อีตอแหล” เขากระชากแขนเล็กของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าแทบจะทําให้คอหักตาย เลือดออกมากลบปาก กลิ่นเหล้าจากลมหายใจของเขาราดรดอยู่กับใบหน้าเมื่อเขาจับไหล่เธอเขย่าอย่างรุนแรง “ฉันเตือนแกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ริอาจตอแหลกับฉัน...”
“หนูเปล่า...หนู...หนูจะไม่ทําอีกแล้ว” เธอครวญคร่ำ
“ถ้าแกขืนตอแหลกับฉันอีก คราวหน้าฉันจะฟาดแกให้ตายด้วยเข็มขัด จําไว้ให้ดี”
เด็กหญิงได้แต่พยักหน้ารับคําสั่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นสบตากับเขาด้วยเกรงว่าจะทําให้เขาเกิดโมโหขึ้นมาอีก...
เคลลี่ลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อกดล็อคให้เข้าที่ เพราะผู้ชายคนที่เธอเห็นที่สวนสาธารณะคนนั้นทีเดียวที่ทำให้เธอต้องนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเด็ก ทั้งที่เธอพยายามจะลืมอดีตนั้นให้หมดสิ้น พยายามจะลบมันออกจากใจ แต่มันช่างหยั่งรากลึกอยู่ในความทรงจําเสียเหลือเกิน...