ตอนที่1สองพี่น้องกลางพนา2
แม้มิใช่การรักษาแบบได้ผลชะงัดเฉกเช่นหมอเทวดา ทว่ากลับช่วยยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ได้ ทำให้ร่างกายที่กำลังบาดเจ็บสาหัสพ้นภาวะวิกฤตใกล้ตายในเสี้ยวลมหายใจ หากคิดช่วยเหลือยังพอมีเวลา ไม่ตายคามือนางแน่นอน
เด็กหญิงดึงเข็มเงินออกก่อนถือวิสาสะเปิดเสื้อผ้าของเขาเพื่อสำรวจบาดแผลทั่วตัว พบว่ามีบาดแผลถลอกเต็มไปหมด แต่สาหัสมากคือที่ขาทั้งสองข้างของเขา ซึ่งเป็นบาดแผลฉกรรจ์ คาดว่าคงถูกหินคมบาดกระทั่งกระดูกยังหักเสียแล้ว
เด็กหญิงไม่รอช้า รีบฉวยโอกาสยามที่เขายังไม่ได้สติทำความสะอาดบาดแผลอย่างลึกล้ำก่อนจะล้วงเข้าอกเสื้อตนเองหยิบห่อยาสมุนไพรสมานแผลออกมา
จากนั้นยังใช้ใยต้นหม่อน เย็บบาดแผลให้อย่างดี ฝีเข็มว่องไวประสานมือใจเป็นหนึ่ง ชีวิตในป่าล้วนสั่งสมประสบการณ์ เมื่อลงเข็มเสร็จก็ใช้ฟันกัดปลายใยต้นหม่อนจนขาด
บาดแผลอื่นก็โรยยาให้จนทั่วทุกแผลอย่างไม่หวงแหน ทว่ายาที่พกพายามเดินป่ามีน้อยนิดเพราะนางปรุงสำหรับตัวเองและพี่สาว พวกนางอายุยังน้อยรูปร่างเล็กบาง มีเนื้อหนังให้เกิดบาดแผลไม่มาก เมื่อเจอคนตัวใหญ่ยาจึงไม่พอใส่แผลให้เขา
เมื่อยาหมดนางจึงปิดเสื้อผ้ากลับเช่นเดิม ยังปลดผ้าป่านเนื้อหยาบที่ลำคอของตนมาพันรอบลำคอของชายวัยกลางคน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้เขา เห็นใบหน้าซีดขาวเริ่มมีสีเลือดฝาดก็วางใจก่อนวิ่งไปอีกทางเพื่อมองหาท่อนไม้กับเชือกเถาวัลย์ไม่นานก็กลับมา
นางนำท่อนไม้วางขนานกับท่อนขามัดด้วยเชือกเถาวัลย์อย่างแน่นหนาทั้งสองข้าง ยังไม่ลืมเตรียมไม้ยาวท่อนหนึ่งเอาไว้ เผื่อเขาฟื้นขึ้นมาจะได้ใช้พยุงตัวเดินพร้อมๆ กับมีนางช่วยแบก
หานไต้มักจะสอนสิ่งเหล่านี้ให้สองพี่น้องอย่างละเอียด เพื่อเอาชีวิตรอดในป่าใหญ่ เด็กทั้งสองฉลาดหัวไว จึงเรียนรู้ได้รวดเร็ว เพียงแต่เฟิงลี่คนน้องออกจะเก่งกาจมากกว่าสักหน่อย ยามนำมาใช้ประโยชน์ ยังแตกต่างจากซือเร่อคนพี่มากโข
เห็นได้ชัดเจนเมื่อเจอชายวัยกลางคนบาดเจ็บนอนสลบกลางหิมะขาวโพลนผู้นี้ หากเขามิได้เฟิงลี่ย่อมถูกหมาป่ารุมขย้ำทึ้งเนื้อกินไปแล้ว
หลังจากเฟิงลี่ดูแลรักษาคนเจ็บได้ดีระดับหนึ่งจึงเอ่ย “ยาของข้าหมดแล้ว แต่ยาของพี่ยังไม่ต้องนำมาใช้นะ เอาไว้เผื่อเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราจะได้นำมาใช้ยามฉุกเฉิน ระหว่างนี้พี่ช่วยเฝ้าเขาเอาไว้นะ ข้าจะเข้าป่าไปหาสมุนไพรมาพอกบาดแผลเล็กๆ ตามลำตัวให้เขา ยังต้องหาหญ้าโลหิตก่อกระดูกสำหรับรักษาขา อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย”
กล่าวจบก็หมุนตัววิ่งไป ทิ้งเอาไว้เพียงซือเร่อที่ยืนมองนิ่ง เด็กหญิงผู้พี่เห็นชัดเจนแล้วว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่เป็นอันตราย จึงเดินมานั่งลงข้างๆ ร่างใหญ่เพื่อเฝ้าเขาเอาไว้ตามคำน้องสาว
หุบเขากว้างใหญ่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวหนาวจัด การหาสมุนไพรจึงนับว่ายุ่งยากและลำบาก ทั้งยังต้องใช้เวลาพอควร เฟิงลี่จึงเลือกงานลำบากนี้เอง ให้ซือเร่อนั่งรอสบายๆ
เวลาค่อยๆ คืบคลานอย่างเชื่องช้า ซือเร่อใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์โดยการสำรวจบาดแผลให้คนเจ็บ เมื่อสังเกตเห็นเชือกเถาวัลย์ผูกปมกับท่อนไม้ไม่เรียบร้อยเกรงว่าจะหลุดออกมา นางจึงช่วยจับแล้วขมวดปมอย่างบรรจงเพิ่มความแน่นหนา
จังหวะออกแรงดึงเชือกเถาวัลย์พลันได้ยินเสียงแหบโหย
“อ่า...เจ็บ”
ชายวัยกลางคนฟื้นขึ้นมาแล้ว
ซือเร่อชะงักปลายนิ้วที่กำลังช่วยมัดปมเชือกที่ขาให้เขา พลางกะพริบตามองอย่างไร้เดียงสา “ข้าขอโทษที่ทำท่านเจ็บ”
ชายวัยกลางคนเร่งปรับสายตาเพื่อคืนสติให้ตนเอง
เขาข่มความเจ็บแปลบทั่วร่างโดยเฉพาะที่ท่อนขา พยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่ง พลันนั้นก็มีมือน้อยๆ ช่วยพยุง
ซือเร่อใช้สองมือเล็กๆ ช่วยจับท่อนแขนให้เขาลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงแหบแห้ง แต่กลับก้องกังวานและทรงพลังอย่างประหลาด
“ขอบใจเจ้ามากเด็กน้อย”
เด็กหญิงคลี่ยิ้ม สองตากระจ่างใสจ้องคนเจ็บไม่ขยับ
ท่าทางของเขาเหมือนเศรษฐีร่ำรวยที่นางเคยเห็นยามลงจากเขาไปเที่ยวในหมู่บ้าน
เมื่อพินิจโดยละเอียด ซือเร่อยังพบว่าเขาผู้นี้ดูร่ำรวยมหาศาล ทั้งอาจจะรวยมากกว่าเศรษฐีในหมู่บ้านแห่งนั้นทุกคน
ยามนี้เฟิงลี่ที่ไปหาสมุนไพรยังไม่กลับมา ซือเร่อจึงช่วยดูแลเขาแทนน้องสาวชั่วคราว เผื่อเขาจะมอบรางวัลที่ช่วยเหลือ
ชั่วจังหวะที่ซือเร่อกำลังคาดหวังถึงผลพลอยได้ พลันมีชายตัวโตชุดน้ำเงินปรากฏขึ้นตรงหน้าราวสิบคน พวกเขามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ทว่ายังคงไว้ซึ่งท่วงท่าขึงขัง ทั้งปราดเปรียวทรงพลัง เมื่อมาถึงก็พากันคุกเข่าจนละอองหิมะปลิวว่อน
เด็กหญิงตัวน้อยมองเหตุการณ์ที่เกิดรวดเร็วนี้อย่างตกใจ
ชายผู้อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยเส้นเสียงทุ้มต่ำมาทางชายวัยกลางคนว่า
“ทูลท่านอ๋อง พวกกระหม่อมมาช้า ขอทรงลงพระอาญา”
ซือเร่อกะพริบตาปริบๆ หันมองผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่านอ๋อง’ อย่างสงสัย คงเป็นนามของเขากระมัง แต่ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่ ชั่วจังหวะกำลังสงสัยได้ยินชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงราบเรียบว่า
“กลับวังก่อน ค่อยว่ากัน”
เด็กน้อยเอียงคอนิ่งฟัง ‘วัง’
ใช่ที่คนเล่าว่าใหญ่กว่าเรือนทั่วไปหลายสิบเท่าหรือไม่?
ซือเร่อชอบฟังผู้คนในหมู่บ้านเล่าเรื่องราวต่างๆ นานา แล้วนำมาขบคิดทั้งยังเนรมิตเป็นภาพมายาคล้ายห้วงฝันในสมอง
หากมีโอกาส นางยังอยากไปเห็นของจริงสักครั้ง
ชายคนแรกถามอีกว่า “ท่านอ๋อง...เอ่อ...เด็กคนนี้คือ?”
ชายวัยกลางคนที่เป็นถึงอ๋องยกยิ้มเปี่ยมเมตตาพลางเอ่ยมาทางซือเร่อว่า “นางเป็นคนช่วยชีวิตของข้า พานางกลับไปด้วย”
เด็กหญิงไม่ทันได้ปฏิเสธก็ถูกมือใหญ่อุ้มเอาไว้ทั้งตัว
ชายผู้นั้นมิได้ฉุดกระชากเพียงอุ้มนางอย่างทะนุถนอม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนุ่มนวลเอาใจใส่ นางจึงทำตัวเป็นเด็กน้อยในอ้อมแขนผู้ใหญ่ตัวโตอย่างเชื่อฟัง ส่วนคนอื่นๆ ช่วยกันพยุงชายวัยกลางคนอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ดวงตากลมกระจ่างใสจ้องมองทุกคนอย่างไร้เดียงสา แม้ไม่เคยกลัวการออกจากป่า ทว่าพวกเขาไว้ใจได้หรือไม่? ปลอดภัยหรือเปล่า? คงได้กระมัง! แต่นางควรส่งข่าวบอกน้องสาวดีไหมว่าขอไปเที่ยวนอกหุบเขาสักหลายวันค่อยกลับมา
ซือเร่อครุ่นคิดในใจยามเพ่งมองกลุ่มผู้ใหญ่ เมื่อหันไปสบตากับชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋อง
นางจึงเห็นสายตาอบอุ่นเต็มไปด้วยความปรานีและรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มจากเขาเอ่ยถามว่า
“เด็กน้อย...บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ใด?”
ซือเร่อส่ายหน้า ตอบตามสัตย์ “ข้าเป็นกำพร้า”
ผู้ถามพลันชะงักเล็กน้อย แน่นอนว่าท่าทางมอมแมมและการแต่งกายซอมซ่อของเด็กหญิง ทั้งยังอยู่กลางป่าแค่ลำพัง จะเป็นอะไรไปมิได้นอกจากคนเร่ร่อนที่พบได้บ่อยครั้งตามชายป่าซึ่งห่างไกลหมู่บ้านออกมาเช่นนี้ บางทียังพบเห็นเป็นขอทานตามละแวกในหมู่บ้านก็มี ไม่แปลกหากจะเป็นกำพร้าไร้สิ้นญาติพี่น้อง
หลังทำความเข้าใจได้ด้วยตนเองท่านอ๋องจึงเอ่ยอีกครา “เช่นนั้น...ข้าจะพาเจ้าไปหาอาหารโอชาและเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ อย่าได้เร่ร่อนไร้หลักแหล่งในป่าเขาอีกเลย”
สองตาใสกระจ่างคู่เดิมพลันทอประกายแวววาว
ซือเร่อยิ้มรับทันที ความคิดของเด็กหญิงนั้นเรียบง่าย
นางขอท่องเที่ยวอย่างสำราญจนหนำใจค่อยกลับมาเล่าให้ท่านตากับเฟิงลี่ฟังก็แล้วกัน
คล้อยหลังกลุ่มคนราวครึ่งชั่วยาม
เด็กหญิงตัวเล็กผู้หนึ่งวิ่งลงเขามาพร้อมสมุนไพรในมือ เมื่อมาถึง กลับต้องตื่นตะลึงกับความว่างเปล่าที่เห็น
เฟิงลี่ย่อมจดจำทิศทางได้ดีไม่มีสักคราที่จำผิดเพี้ยน
ตรงนี้ไม่ผิดแน่! คราบเลือดก็ยังอยู่
ทว่าตัวคนกลับหายไป
พร้อมพี่สาวของนาง...
หลังจากนั้นในทุกๆ วัน เด็กหญิงผู้หนึ่งจึงต้องออกตามหาพี่สาวของตนสลับกับต้องเฝ้าดูแลท่านตาเพียงลำพัง
กระทั่งห้าปีต่อมา...
หานไต้ที่นอนป่วยด้วยโรคชรามาโดยตลอดก็จากไป
เด็กสาววัยสิบสี่ปีจึงตัดสินใจออกจากป่าใหญ่เพื่อผจญโลกกว้างอย่างเด็ดเดี่ยว
หมายตามหาพี่สาวคนเดียวของตนอย่างจริงจัง