ตอนที่ 1 ที่พักใจ 2
รพีกรต้องลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วิ่งมาตามทางเดินระหว่างอาคารที่มันทอดยาวสุดลูกหูลูกตาภายในเวลาจำกัด
นาทีนี้เขาไม่ขออะไรมาก ขอแค่ให้ไฟลต์ของเขาดีเลย์ก็พอ เพราะตอนนี้มันเลยเวลา Boarding มาสามสิบกว่านาทีแล้ว
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้เที่ยวบินเทกออฟไปแล้วค่ะ”
ได้ยินแล้วก็แทบจะเข่าทรุด “กูรีบวิ่งมาเพื่อ?” ปกตินั่งรอเป็นชาติไม่เคยจะออกตรงเวลา แต่วันนี้ไหงตรงเวลาซะเป๊ะเลยวะ รพีกรจำต้องควักกระเป๋าซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวใหม่ ซึ่งเขาต้องรออีกเกือบสี่ชั่วโมง
“หมดกันถนนคนเดิน”
ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นชิลล์ ๆ บนถนนคนเดินเสียหน่อย แต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะทัน กว่าเขาจะไปถึงสนามบินเลย ขับรถเช่าไปเชียงคาน ถึงตอนนั้นก็คงเกือบสี่ทุ่มกว่า
นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่หน้าเกตครบสี่ชั่วโมงพอดี พี่แอร์คนสวยก็เรียกขึ้นเครื่อง เขาย้ายก้นไปนั่งต่อบนเที่ยวบินเที่ยวสุดท้ายของวัน ก่อนจะปิดเปลือกตาลง
รพีกรไม่ได้หลับหรอก เขาเพียงแค่อยากจะใช้สมาธิทบทวนว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามันมีความฉิบหายอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาบ้าง
นอกจากเรื่องงานแต่งงานสายฟ้าแลบของแม่กับการที่เขากำลังจะมีน้องตอนอายุยี่สิบสี่ เพื่อนสนิทเททริป รถติด ตกเครื่อง ทุกอย่างนี่ยำรวมกันมันยังไม่ทำให้เขาสะเทือนใจเท่ากับ…
รพีกรล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ใบเล็กที่เขาแยกของมีค่าและของใช้จำเป็นบางอย่างไว้ เขาหยิบการ์ดสีชมพูใบหนึ่งออกมา มันเป็นการ์ดแต่งงาน ไม่ใช่ของเรืองรวีกับคริสโตเฟอร์ แต่เป็นของโต๋กับน้ำหวานเพื่อนสนิทของเขา รักสามเส้าที่เดาตอนจบได้ไม่ยาก แต่แม่ง! ทำไมโคตรเจ็บเลยวะ?
เขา โต๋ และน้ำหวาน เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เขาชอบโต๋ โต๋ชอบน้ำหวาน และน้ำหวานชอบโต๋ จบปะ มันควรจบตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าโต๋จะไม่ตามมาทำงานที่เดียวกัน เขากับโต๋ยิ่งสนิทกันมาก ใกล้ชิดกันมาก แม้เขาจะพยายามบอกตัวเองมาตลอดว่าให้อยู่ในเฟรนด์โซนเท่านั้น แต่มันก็โคตรยาก ใครไม่อยู่ตรงนี้ไม่มีทางเข้าใจหรอก
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เบื้องบนคงเห็นใจเขา ถึงได้ดลจิตดลใจให้มารดาจัดงานแต่งในวันเดียวกัน เขาจึงใช้มันเป็นข้ออ้างกับเพื่อนว่าไปร่วมงานไม่ได้เพราะอะไร
เอาละ รพีกรบอกกับตัวเองว่าจะเศร้าแค่วันนี้เท่านั้น หลังจากที่เขากลับมาจากการพักใจที่เชียงคาน เขาจะเป็นคนใหม่ ไม่มีแล้วพระรองนางรองที่ต้องผิดหวังช้ำรัก ยิ้มสิวะโรม มึงกำลังจะเป็นลูกเลี้ยงมหาเศรษฐี แม่มึงกำลังจะเป็นมาดามเรืองรวี มึงต้องยิ้ม!
ขอยิ้มให้กับความซวยครั้งที่สี่ของวัน เมื่อรพีกรมาถึงสนามบินเลย บริการรถเช่าได้เก็บเคาน์เตอร์กลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว โดยทิ้งรถกระป๋องเก่าญี่ปุ่นไว้ให้เขาหนึ่งคัน พร้อมกับข้อความที่ส่งมาทางแอปพลิเคชันไลน์ว่าเหลือแค่คันนี้คันเดียวเท่านั้น
รพีกรจำต้องขับรถคันเก่าที่มันโคตรเข้ากับบรรยากาศชายหนุ่มอกหักจากเมืองกรุงมุ่งสู่ป่าเพื่อรักษาแผลใจ กว่าจะมาถึงเชียงคานก็สี่ทุ่มตามที่คาดไว้นั่นแหละ แต่ถนนคนเดินก็ยังพอมีอะไรให้กินอยู่บ้าง
“เอากุ้งครับ”
กุ้งเสียบสองไม้สุดท้ายของร้านถูกยื่นมาให้ รพีกรรับมารูดเข้าปากอย่างที่อยากมานาน ก่อนจะเดินทอดน่องดูข้าวของที่บางร้านก็กำลังเก็บ
ผู้คนบางตาเพราะเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า แถมอากาศยังค่อนข้างหนาว จนอยากได้ข้าวจี่ร้อน ๆ สักก้อนให้อุ่นท้อง มีน้องตัวเล็ก ๆ น่าจะวัยประถม แต่งชุดผีตาโขนถือกล่องบริจาค รพีกรจึงหย่อนเงินทอนจากร้านกุ้งเสียบไปให้
เจ้าผีตาโขนตัวเล็กโค้งศีรษะหงึก ๆ แล้วกลับไปยืนนิ่งเหมือนเดิม
รพีกรเดินทอดน่องจนมาถึงที่พักที่เขาจองผ่านทางไลน์ โอนเงินค่าห้องไว้ให้เรียบร้อยแล้วเป็นเวลาหกคืน ชายหนุ่มหยุดยืนแหงนมองบ้านไม้สภาพเก่า บ่งบอกถึงความเป็นโฮมสเตย์แบบดั้งเดิมที่ไม่ได้ถูกครอบด้วยเงินทุนจากนักลงทุนต่างถิ่นหลายหลังอย่างที่เขาเดินผ่านมา แต่ทว่า…
“ทำไมมันดูเก่ากว่าในรูปเยอะเลยวะ?” รพีกรย่นคออย่างขยาดกลัว ในใจเริ่มกังวลว่าคนกลัวผีขึ้นสมองอย่างเขาจะนอนคนเดียวได้หรือไม่ คิดมาถึงตรงนี้ก็พานโมโหเพื่อนขึ้นมา “เสือกเทกูซะงั้นไอ้เหี้ยวิน!”
ที่พักก็ดูวังเวง ไอ้เพื่อนเวรก็มาทิ้ง รพีกรได้แต่ด่าทอในใจ เขามองไปรอบ ๆ ที่ผู้คนเริ่มหาย ร้านรวงต่าง ๆ พากันเก็บและปิดไฟ
พึ่บ!
ทันใดนั้นหางตาของเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวไว ๆ พอหันกลับไปมองรพีกรก็แทบช็อก
‘กรี๊ด!’ เขาหวีดร้องอยู่ภายในใจ ในขณะที่ร่างกายกำลังล้มหงายไปข้างหลัง โชคดีที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พอให้เป็นหลักยึดไม่ให้เขาล้มลงไป
“เฮ้ย! ไอ้ผีตาโขน!”
ผีตาโขนตนนั้นนั่นเอง ผีตัวเล็กที่เขาให้เงินไปเมื่อครู่ สงสัยเพราะไม่ได้ถอดหัวออก เจ้าเด็กน้อยในชุดคอสเพลย์พื้นบ้านจึงมองไม่เห็นเขา
“ไม่เป็นไร ๆ”
รพีกรโบกมือเมื่อเด็กคนนั้นโค้งคำนับซ้ำ ๆ เป็นเชิงขอโทษ และพอเขาไม่ถือสาเอาความ เด็กนั่นก็วิ่งหายเข้าไปในซอยแคบ ๆ ของถนนคนเดินอีกด้าน
“เป็นใบ้เหรอวะ?”
พอละสายตาจากเด็กที่อยู่ในชุดผีตาโขน เขาก็หันกลับมามองที่พักอีกครั้ง พร้อมกับการถอนหายใจ
จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขามาถึงที่แล้ว รพีกรตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางเข้าไป ชะเง้อมองหาสิ่งมีชีวิตหลังเคาน์เตอร์ไม้เก่า ๆ นอกจากแมวขี้เซาที่นอนหลับอยู่ก็ไม่เห็นมีใคร
“สวัสดีครับ” ส่งเสียงไปก่อน เผื่อว่าเจ้าของจะอยู่แถวนี้ “ผมมาเช็กอินครับ ที่จองห้องพักไว้”
ไม่มีเสียงตอบรับจากหลังเคาน์เตอร์ เจ้าแมวตัวเดิมก็ทำเพียงผงกหัวขึ้นมาร้องเมี้ยวสองทีแล้วก็บิดขี้เกียจ มันมองค้อนรพีกรแล้วก็นอนต่อเหมือนว่าเขาไม่มีตัวตน
แต่ไม่นานรพีกรก็ใจชื้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนกำลังเดินลงมาจากชั้นบน
“มาหาห้องพักเหรอ เสียใจด้วยนะห้องเต็มแล้ว ช่วงวันหยุดต้องจองล่วงหน้า ถ้าจะวอล์กอินหาห้องต้องเป็นวันธรรมดาถึงจะพอมี”
“ผมจองไว้แล้วครับ” รพีกรแจ้งกับคุณลุงวัยเกษียณที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นลุงชมเจ้าของโฮมสเตย์ ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็ควานหาหลักฐานแชตไลน์กับสลิปโอนเงินในกระเป๋าเป้ แต่ทว่า… “อ้าว! หายไปไหนวะ?”
ทั้งกระเป๋าสตางค์ ทั้งโทรศัพท์มือถือที่ควรจะอยู่ในกระเป๋า ตอนนี้มันอันตรธานหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ “รอเดี๋ยวนะครับลุงชม”
รพีกรย่อตัวลงไปเปิดกระเป๋าเดินทาง เผื่อว่าเขาจะเอามันไปไว้ในนั้น แต่เท่าที่จำได้เขาใส่ไว้ในกระเป๋าเป้แน่นอน
“ไม่ต้องหาแล้ว” เสียงลุงชมดังขึ้น พร้อมกับที่ลุงยกกระเป๋าเป้ของรพีกรขึ้นมาชี้ให้เขาดูที่รอยขาด
“เฮ้ย!” รพีกรรีบคว้ามาดู “นี่มันรอยกรีดนี่ ผมโดนล้วงกระเป๋าเหรอ?”