บทย่อ
ผมหนีความว้าวุ่นใจจากเมืองใหญ่มาพักใจที่เชียงคาน ก่อนจะกลับไปร่วมงานแต่งงานของแม่ แต่… ผู้ชายที่ถือช่อดอกไม้ในโบสถ์คนนั้น เขาคือคนที่ผมวันไนต์สแตนด์!
ตอนที่ 1 ที่พักใจ 1
“ว่าไงนะครับแม่!?”
เสียงอุทานของรพีกรน่าจะดังไปถึงซอยแปดทั้ง ๆ ที่บ้านทาวน์เฮาส์สองชั้นหลังนี้ตั้งอยู่ในซอยสี่ของหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลางย่านฝั่งธน
การที่มารดาจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกเจ็ดวันข้างหน้ากับเจ้านายที่เมียเพิ่งตายไปเมื่อปีก่อนสร้างความรู้สึกบางอย่างขึ้นในหัวจิตหัวใจของลูกชายวัยยี่สิบสี่ปีอย่างเขาจนต้องยื่นใบลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์เพื่อขอเวลาไปทำใจไกลถึงเชียงคาน เท่านั้นยังไม่พอ เรืองรวีที่คิดว่าลูกชายไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ของเธอจนต้องหนีไปต่างจังหวัด เพิ่งจะมายอมรับสารภาพถึงความจำเป็นที่เธอต้องแต่งงานทั้ง ๆ ที่เคยสัญญากับรพีกรว่าชาตินี้จะไม่หาพ่อใหม่ให้เขาเด็ดขาด
“แม่มีเบบี๋เหรอ?” รพีกรจ้องมองไปที่ท้องของมารดาวัยสี่สิบห้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“ใช่จ้ะ โรมจะมีน้องแล้วนะ ดีใจมั้ย?” เรืองรวีฉีกยิ้มแหะ ๆ ให้ลูกชาย
“ไหนแม่ว่าไม่มีทางจะทำตามที่มาดามขอไง?”
มาดามที่รพีกรเอ่ยถึงคือซีลีน อดีตเจ้านายที่เรืองรวีทำงานเป็นเลขา ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับเลือด เธอได้ขอร้องเรืองรวีให้ช่วยดูแลสามีที่ยังหนุ่มแน่นแทนเธอ ความหมายตามนัยที่มาดามซีลีนหมายถึงคือการขอให้เรืองรวีแต่งงานกับคริสโตเฟอร์และมีลูกสาวให้เขาสักคน ตอนนั้นเรืองรวีปฏิเสธเสียงแข็ง ให้อย่างไรก็ไม่มีทางแต่ง เธอรับปากเพียงจะทำงานเป็นเลขาต่อไปเท่านั้น แต่ไหงแค่หนึ่งปีผ่านไปถึงปล่อยให้เจ้านายเสกเบบี๋เข้าท้องได้ล่ะเนี่ย
“แล้วโรมบอกตอนไหนว่าอยากมีน้อง”
“ก็ตอนโรมห้าขวบไง จำไม่ได้เหรอลูก”
“แม่!!! นั่นมันสิบเก้าปีมาแล้วนะ อย่ามาอ้างเหอะ นึกว่ามดลูกฝ่อไปแล้วซะอีก แล้วไปทำอีท่าไหนให้ท้องได้เนี่ย”
“โรมจะให้แม่เล่าจริง ๆ เหรอ คืองี้…”
แต่พอเรืองรวีตั้งท่าจะเล่า รพีกรก็เดินหนี “พอ ๆ ๆ พอเลย ไม่ต้องมาสาธยาย” เขาลากกระเป๋าเดินทางออกมาถึงหน้าบ้าน ก่อนจะย่อตัวลงสวมรองเท้าผ้าใบ
“โรมจะกลับมาร่วมงานใช่มั้ย?” เรืองรวีตามมานั่งลงข้างลูกชาย เธอเริ่มตีหน้าเศร้าเล่าความในใจ “เรามีกันแค่สองคนแม่ลูกนะ” ประโยคไม้ตายไม้ที่หนึ่ง “ตั้งแต่พ่อของโรมตายไป แม่ก็เลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมันไม่ง่ายเลย” น้ำใส ๆ เอ่อขึ้นมาพร้อมกับไม้ตายไม้ที่สอง
ก่อนที่เรืองรวีจะดราม่าไปมากกว่านั้น รพีกรก็ตัดบทโดยการผุดลุกขึ้นยืน แล้วลากกระเป๋าออกมา “เอาเป็นว่าโรมจะกลับมาให้ทันก็แล้วกัน แม่หยุดดราม่าแล้วเอาเวลาไปเข้าคอร์สเจ้าสาวเหอะ”
“จริงนะ” แล้วเรืองรวีก็ผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอกระโดดจนตัวลอยพุ่งเข้าไปกอดลูกชายโดยลืมไปว่าตัวเองกำลังท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว
“เดี๋ยวเบบี๋ก็ตกใจตายพอดี แม่แก่แล้วนะไม่ใช่สาว ๆ จะลุกจะนั่งจะเดินก็ระวัง ๆ หน่อยสิ” เขาบ่นเป็นตาแก่ที่มีแม่เป็นเหมือนเพื่อนสาวมากกว่าจะเป็นผู้ให้กำเนิด
“โอเค ๆ จ้ะ” เรืองรวียกนิ้วขึ้นมาทำสัญลักษณ์ตัวโอกับตัวเค “เดินทางปลอดภัยนะลูกรัก แล้วเจอกันวันงาน” เธอเขย่งปลายเท้าเพื่อหอมแก้มลูกชาย แล้วจะหมุนตัวกลับเข้าบ้าน แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอก็หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง
“แม่!!!” รพีกรถลึงตาใส่การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามสไตล์เลขาผู้ปราดเปรียวของมารดา
“อ้อ… ลืมไป แม่แค่จะบอกว่า พรุ่งนี้แม่จะย้ายเข้าไปอยู่บ้านคุณคริสนะ ถ้าโรมกลับมาก่อนงาน ก็ไปอยู่ด้วยกันที่นั่นก็ได้ มันใกล้โบสถ์ ไม่ต้องเดินทางไกล”
“คร้าบ มาดาม” อดไม่ได้ที่จะแซะมารดาที่เริ่มวางท่าเป็นมาดามเจ้าของคฤหาสน์ใจกลางเมือง
การจราจรช่วงเช้าวันเสาร์เน่ายิ่งกว่าเย็นวันศุกร์เสียอีก รพีกรนั่งกระสับกระส่ายอยู่หลังพวงมาลัยในขณะที่สายตาก็เหลือบมองเวลา “ตายห่า จะไปทันมั้ยวะเนี่ย”
แม้ว่าเขาจะเช็กอินในแอปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ต้องไปพรินต์ Boarding Pass ที่หน้าตู้อยู่ดี และเขาต้องไปให้ทันเวลาขึ้นเครื่องด้วย
“มึงอยู่ไหนแล้ววะ ถึงยัง?” กว่าจะติดต่อเพื่อนร่วมเดินทางที่นัดกันไว้ได้เพราะฝ่ายนั้นไม่ยอมรับสาย ก็ตอนเขาออกมาจากบ้านได้ร่วมชั่วโมงแล้ว
“โทษทีว่ะมึง กูไปไม่ได้แล้วอะ” แล้วเขาก็ได้คำตอบที่ต้องตกใจ
“ทำไมวะ?”
“เมียกูงอนว่ะ ง้อมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเนี่ย”
“ก็ไหนมึงบอกเบลไม่ว่าอะไรไง”
“กูนึกว่าที่มันไม่ว่าอะไรคือให้ไปได้ ที่ไหนได้มันบอกว่าประชด ผู้หญิงแม่งปากไม่ตรงกับใจ” นาวินบ่นอย่างแสนเซ็งที่ทริปหนุ่มโสดมีอันต้องล่มเพราะเมียโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตั้งแต่ที่เขาจัดกระเป๋าเดินทาง “มึงคงต้องฉายเดี่ยวแล้วละว่ะ”
“ห่ามึงเอ๊ย!” รพีกรทำอะไรไม่ได้นอกจากสบถใส่ ก่อนจะวางสายไปแล้วหันมาลุ้นกับการจราจรบนท้องถนน “โดนเพื่อนเท แถมยังมีแววจะตกเครื่อง ซวยในซวยเกินไปแล้วโรมเอ๊ย!”
พอมาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง รพีกรก็ต้องหัวเสียอีกครั้ง เมื่ออาคารจอดรถที่ใกล้กับอาคารผู้โดยสารขาออกที่จอดเต็ม เจ้าหน้าที่ลากแผงมากั้นพร้อมกับข้อความว่า ‘เต็ม’ มันแสนเจ็บปวดเหลือเกิน เขาจึงต้องขับรถเลยไปยังอาคารคลังสินค้าเก่าที่พอจะมีที่จอดเหลืออยู่บ้าง แต่ข้อเสียก็คือ “แม่ง! โคตรไกล”