

บทที่ 2 พบเจอกันอีกครั้ง
บทที่ 2 พบเจอกันอีกครั้ง
“เก่งจริง ๆ เลยนะ” ด้วยร่างกายอันอ่อนแอในตอนนี้ของนีน่า เธอค่อนข้างที่จะหมดแรงและพยายามที่จะเซฟพลังงานเอาไว้ใช้เรียน ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอมันช้าไปหมด ถ้าไม่ได้แฟนต้าวิ่งมาที่โต๊ะล่ะก็ เธอคงได้ยืนอยู่จนกว่าจะหมดเวลาพักแน่ ๆ
เสียงของผู้คนคุยกันจอแจดังจนแทบจะกลบเสียงของพวกเธอไปจนหมด ทำให้การคุยกันในตอนนี้เหมือนเป็นการตะโกนใส่กันมากกว่า หากคนอื่นมาเห็นภาพทั้งคู่ในตอนนี้คงเข้าใจว่าทั้งสองกำลังโกรธและทะเลาะกันอยู่แน่ ๆ
แต่แล้วสายตาของนีน่าก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มที่ดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกด้วยร่างที่สูงสง่า เป็นจุดเด่นท่ามกลางผู้คน เรือนผมสีดำขลับราวกับขนของอีกา กับตัดกับสีผิวขาวเนียนละเอียดและผุดผ่อง ใบหน้าคมเข้มจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางยาวได้รูปผู้เป็นเจ้าของดวงตาอันทรงเสน่ห์รูปลักษณ์ที่ดึงดูดทุกสายตาโดยไม่ต้องพยายาม
และนีน่าก็รู้ทันที เธอรู้ได้ทันว่านั่นคือแฟนเก่าของเธอ รีไวน์
ชายคนนั้นกำลังนั่งทานข้าวอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้ชายหมู่มากจนไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตา แต่แล้วเพื่อนของเขาก็รีบวิ่งถือจานข้าวมายังที่โต๊ะอย่างรีบร้อน เพื่อที่จะแจ้งข่าวเด็ดให้กับรีไวน์
“รีไวน์ เมื่อกี้กูเห็นคนที่เป็นสุดที่รักของมึงด้วยว่ะ เธอมากินข้าวที่คณะนี้เหมือนกันนะเว้ย หรือว่าจะมาหาแกกันวะ?” มั้นท์เพื่อนที่สุดของรีไวน์ที่พึ่งมาถึงโต๊ะ บอกกับรีไวน์อย่างตื่นเต้นเพื่อน ๆต่างรู้ดีว่า รีไวน์ยังลืมรักเก่าของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงได้ตื่นเต้นในการแจ้งข่าวแบบนี้
“มึงเพ้อเจ้ออะไรวะ คนอย่างนีน่าจะมากินข้าวที่คณะนี้ได้ยังไง” รีไวน์รู้ได้ทันทีว่าสุดที่รักที่เพื่อนเขาหมายถึงคือใคร ชีวิตของเขาหลังจากที่เลิกกันกับคนเก่าก็ไม่เคยแตะต้องตัวผู้หญิงคนไหนอีกเลย
“อะไรกันวะ พูดเหมือนรู้จักกันดี เลิกกันไปนานแล้วไม่ใช่หรือไงเวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยนนะมึง”
มั้นท์ยังคงพูดเพื่อที่จะเสี้ยมให้ รีไวน์อยากรู้อยากเห็นเรื่องของนีน่าให้มากกว่านี้ และมันก็ได้ผลถึง รีไวน์จะไม่เชื่อว่านีน่ามากินข้าวที่นี่ ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่สายตาของเขาดันสอดส่องหาเธอไม่ยอมหยุด แต่ก็หาไม่เจอเพราะตัวของ นีน่าถูกบังเอาไว้โดยเพื่อนสาวของเธอ กลับกันนีน่าเห็นรีไวน์ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเต็มสองตา
อันที่จริงแล้วรีไวน์กับนีน่าเคยเจอกันก่อนหน้านี้ ในตอนที่ปฐมนิเทศ ครั้งนั้นเขากับนีน่าเจอกันโดยบังเอิญ แต่ทั้งสองมองหน้ากันเหมือนคนรู้จักแต่ก็แค่เหมือน หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เมินและมองไปทางอื่น
นีน่ารู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้เจอรีไวน์ที่มหาลัย แต่ก็เท่านั้นเพราะรีไวน์ไม่ได้มีท่าทีที่สนใจเธอเลย เธอจึงทำแบบเดียวกันกับที่ เขาทำกับเธอบ้าง นั่นคือการทำเป็นไม่สนใจเขาเช่นกันเพราะยิ่งเธอนึกถึงเขามากเท่าไหร่นั่นยิ่งทำให้เธอนึงถึงอดีตที่คิดถึง...และเจ็บปวดไปด้วย
“รีไวน์!!”
ชายร่างสูงผมดำหนาเข้ากันดีกับผิวกายขาวสว่างดูสุขภาพดี หันหลังตามเสียงเรียกทันทีเมื่อได้ยิน เขาได้เจอกับเด็กนักเรียนใส่ชุดมอปลายและผูกผมเป็นหางม้า มันดูน่ารักเอามาก ๆ ในสายตาของเขา ใบหน้าของเธอมีแต่รอยยิ้มและความสดใส จนทำให้รีไวน์รู้สึกเบิกบานทุกครั้งเมื่อได้เจอหรือพูดคุยกับเธอ
“ว่าไงครับ?”
ชายหนุ่มหันไปตอบรับอย่างอ่อนโยน แม้ในเวลาที่อยู่กับเพื่อนเขาจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เสียงดังและก้าวร้าวกว่านี้ แต่หากได้อยู่กับคนรักแล้ว เขาเหมือนกับหมาตัวโตๆที่แสนใจจะใจดี
“วันนี้รีไวน์จะกลับบ้านเย็นใช่ไหม งั้นวันนี้ไม่ต้องไปส่งเราก็ได้ เดี๋ยวเรากลับเอง”
เธอกล่าวกับชายผู้เป็นคนรัก แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในวัยมัธยมปลาย แต่รีไวน์ก็จะนั่งรถประจำทางไปส่ง นีน่าคนรักของเขา ถึงหน้าบ้านทุกครั้ง ถึงจะเป็นคนละทางกับบ้านของรีไวน์ เขาก็ทำแบบนั้นเป็นประจำเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเธอ
“เอางั้นเหรอ แต่อีกนิดก็เสร็จแล้วจะไม่รอกลับพร้อมกันจริงๆ เหรอ?” รีไวน์ทวนถามเธอเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะการที่จะปล่อยให้แฟนของตัวเองต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว มันคงทำให้เขาไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
ภายในใจเขาไม่อยากให้เธอต้องกลับบ้านคนเดียวเลยแท้ๆ แต่ว่าเขาต้องจัดซุ้มงานปัจฉิมให้กับรุ่นพี่ และกว่าจะเสร็จก็คงใช้เวลาอีกสักพัก
“อื้อ! รีไวน์ทำงานก็สู้ๆนะคะ เราเป็นกำลังใจให้”
นีน่ายิ้มให้รีไวน์อีกครั้ง เธอมักจะให้กำลังใจรีไวน์เสมอ ไม่ว่ารีไวน์จะทำอะไร
“งั้นถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยแล้วกัน มีอะไรก็รีบโทรมาเลยนะ” รีไวน์บอกกับเธอด้วยความเป็นห่วง เธอตัวเล็กแค่นิดเดียวเขาเลยต้องคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย
ตั้งแต่ทั้งสองคนคบกันรีไวน์แทบจะไม่ปล่อยให้นีน่าอยู่นอกสายตาของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาต้องจำใจปล่อยนีน่ากลับไปคนเดียว ถ้าไม่ติดว่าต้องทำซุ้มนี่ล่ะก็คงได้กลับบ้านด้วยกันเหมือนอย่างทุกๆวันไปแล้ว เขาจึงมีท่าทีที่หงุดหงิดอยู่บ้างแต่นั่นก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อได้รับงานมาแล้วเขาเองก็ต้องทำมันให้สำเร็จเพียงเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นห่วงมากแค่ไหนแต่หน้าที่เพื่อส่วนรวมก็ต้องสำคัญกว่า รีไวน์ได้แต่คอยยืนมองร่างเล็กๆ ของนีน่าเดินออกไปไกลจนไม่เห็น ก่อนที่เขาจะตั้งใจทำงานต่อให้เสร็จโดยไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงรีบเก็บของทุกอย่างและเดินไปเอากระเป๋าที่ถูกวางทิ้งไว้กับพื้น สะพายขึ้นบ่าเตรียมกลับบ้าน แต่แล้วเพื่อนของเขาก็เข้ามาหาและชวนรีไวน์ให้ไปหาอะไรกินก่อนที่จะกลับ เขาจึงตอบตกลงไป
เมื่อถึงศูนย์การค้า รีไวน์เดินคุยกับเพื่อนว่าจะกินข้าวร้านไหนดีแต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้ จนสายตาของเขาได้เห็นภาพที่แสนจะทรมานหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋านักเรียนที่ถูกห้อยด้วยพวงกุญแจน่ารักๆ และผมทรงหางม้าที่มองจากด้านหลังเขาก็สามารถรู้ได้ ว่านั่นคือแฟนของเขา กำลังยืนเลือกซื้อของอยู่ในร้านขายตุ๊กตา สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้คือ การโดนหักหลัง จากผู้หญิงที่เขารักไหนว่าเธอกลับบ้านไปแล้วไง? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แถมข้างกายของเธอยังมีผู้ชายอีกคนอยู่ด้วย
รีไวน์เลือกที่จะมองสถานการณ์ตรงหน้าก่อน แต่ยิ่งมองเท่าไหร่ภาพมันก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปในใจของเขา สิ่งที่เธอเคยทำร่วมกับเขา เธอกลับทำแบบนั้นกับคนอื่นด้วยเช่นกัน แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าการสวมเขา จะให้เรียกว่าอะไร?
นีน่าไม่ทันได้สังเกตว่าตัวเองกำลังถูกมองอยู่ไกล ๆ จากรีไวน์ เธอตั้งใจเลือกดูตุ๊กตาอย่างละเอียด นี่คือสิ่งที่พี่ชายข้างบ้านของเธอที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กขอร้อง ก่อนที่เธอจะเดินทางถึงบ้านพี่ชายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กอย่าง ฟรานซิส โทรมาขอให้เธอมาที่ห้างก่อน เขาต้องการคนที่จะช่วยเลือกของขวัญให้กับแฟน นีน่าจึงเป็นผู้ช่วยที่ดี เพราะเธอเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน
“เอาจริง ๆ ถ้าพี่มาเลือกเองผู้หญิงเขาจะดีใจมากกว่านะ” นีน่าเสนอความคิดของเธอกับฟรานซิส หญิงสาวมีความเชื่อว่าสิ่งที่เลือกออกมาจากใจคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ดูเหมือนว่าฟรานซิสจะไม่คิดแบบนั้น หลายครั้งที่ฟรานซิสพยายามจะซื้อของให้กับแฟนของตัวเอง แต่มันก็ดันไม่ถูกใจแฟนเสียที ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางต่างๆ ของใช้ หรือกับตุ๊กตาก็ไม่เว้น
“ไม่เอาล่ะ นีน่าเลือกให้พี่หน่อยแล้วกัน พี่ไม่เก่งเรื่องการซื้อของเลย คราวที่แล้วแฟนพี่บ่นว่าอยากได้เครื่องสำอาง พี่เลยซื้อลิปสติกไปให้ ปรากฏว่าเธอโวยวายเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าพี่ซื้อลิปสีอะไรมาก็ไม่รู้ไม่เข้ากับเธอเลยสักนิด”
ฟรานซิสค่อนข้างมั่นใจว่านีน่าจะต้องเลือกได้ดีกว่าเขา และครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่ฟรานซิสจะทำผิดพลาดไม่ได้ เขาจึงต้องการผู้ช่วยมากในเวลานี้
