ตอนที่ 8
ดวงตาคมกริบนั่งสำรวจข้าวของที่วางอยู่ตรงหน้าหลังจากที่หญิงสาวสลบไปฟางจวินกับหรงเฉินองครักษ์คู่กายก็ตามมาเจอเขากับนาง ทั้งหมดพากันออกมาจากก้นเหวโดยไม่เจอกับอันตรายใด ๆ อีก
อันที่จริงผาสูงแค่นั้นไม่ได้ยากลำบากที่จะปีนกลับขึ้นมาสำหรับคนที่มีวิชาติดตัวอย่างเขา แต่เพราะโดนพิษจึงต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟูกำลังเสียก่อน ทำให้ไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาปีนกลับขึ้นสู่ด้านบนได้ในทันที
เป็นเพราะมีหญิงสาวพ่วงมาด้วย อันที่จริงจะปล่อยไว้ให้เป็นอาหารสัตว์ป่าในนั้นก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจดวงนี้ถึงหวั่นไหวปล่อยทิ้งนางไว้ไม่ได้ เขาต้องเค้นเอาความจริงจากนางให้ได้ ว่านางร่ายเวทย์มนตร์ดำอันใดใส่จึงทำให้หัวใจที่เคยเย็นชาดวงนี้แปลกไป
“แปลกประหลาดมาก กระหม่อมไม่เคยพบเจอสิ่งของเหล่านี้มาก่อน ท่านบอกว่าแม่นางผู้นั้นใช้ของสิ่งนี้ทำให้เสือตื่นกลัวจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือผู้ฉลาดหลักแหลมอย่างเย่วเทียนมองแท่งสีดำหน้าตาประหลาดในมือพร้อมกับพลิกสำรวจอย่างละเอียด วัสดุที่ใช้ทำก็แปลกยิ่งนัก
“ใช่ เพียงแค่นางหยิบมันขึ้นมาก็เกิดแสงขึ้น...แล้วสิ่งนี้นางบอกว่ามันคือ...”
ชายหนุ่มนิ่งชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกไม่ออกว่า สิ่งที่จุดไฟได้นี้มันชื่ออะไร แต่ช่างปะไร! จะชื่ออะไรก็ช่างมารดามันเถอะ!
“มันสามารถจุดไฟได้”
เย่วเทียน ฟางจวินและหรงเฉิน ขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ ทั้งสามขมวดคิ้ว พากันมองสิ่งของในมือของท่านอ๋องอย่างสงสัย ว่าไอ้แท่งเล็ก ๆ สีฟ้าที่สลักอักษรหน้าตาประหลาดนี้มันจะจุดไฟได้ยังไง
“Rrr...ติ๊ด ๆ ๆ ๆ”
ทุกคนสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ดี ๆ หนึ่งในสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกับสั่นไปมา พอชะโงกหน้าไปดูก็เห็นว่าของสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมใหญ่เท่าฝ่ามือ มีแสงติดอยู่ในนั้น มีภาพของหญิงสาวกำลังส่งยิ้มหวาน มันดูเหมือนไม่ใช่ภาพวาด แต่มันเหมือนกับนางตัวเป็น ๆ เข้าไปอยู่ในนั้น เพียงแต่ไม่ขยับเขยื้อน
“ปีศาจ! นางต้องเป็นปีศาจแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ” ฟางจวินออกความเห็น จับกระบี่ข้างเอวไว้แน่นเตรียมตัวตั้งรับเผื่อมีตัวอะไรออกมาจากสิ่งนั้นที่ส่งเสียงร้องและสั่นไม่หยุด
“ข้าก็คิดเช่นเจ้า” หรงเฉินเองก็ยืนตั้งท่ารับเช่นกัน
มีแต่กุนชือหนุ่มที่ยืนจ้องดูเงียบ ๆ อย่างใช้ความคิด ไม่ว่าจะฉลาดหลักแหลมแค่ไหน แต่พอมาเจอข้าวของที่วางอยู่ตรงหน้าก็ทำให้กุนซือหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่เขลาขึ้นมาทันที
“ไปพาตัวนางมา”
ชินอ๋องหยวนจางหมิงสั่งเสียงเรียบ จ้องเขม็งมองของสิ่งนั้นด้วยสายตาเหี้ยม รำคาญที่มันส่งเสียงร้องไม่หยุด อยากจะเอากระบี่ขึ้นมาฟาดมันให้แหลกละเอียด แต่ก็ต้องยับยั้งใจไว้ เพราะไม่รู้ว่าหากทำลงไป เกรงว่าภูตผีที่ส่งเสียงร้องอยู่ในนั้นจะออกมาอาละวาด ซึ่งอาจต้องเหนื่อยแรงเพื่อปราบพวกมันอีก
“พ่ะย่ะค่ะ” ฟางจวินโค้งตัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกจากกระโจมที่พัก ตรงไปยังที่คุมขัง
“แม่นางตื่นได้แล้ว” ฟางจวินเรียกหญิงสาวที่นอนขดตัวหลับไหลไม่ได้สติอยู่บนพื้น เรียกอยู่หลายครานางยังคงหลับสนิท ครั้นจะเข้าไปใกล้ก็มีคำกล่าวที่ว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดแตะเนื้อต้องตัวกัน
“แม่นางตื่นได้แล้ว” เขาเรียกเสียงเข้มขึ้น
ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อหญิงสาวเริ่มขยับตัว ดวงตาที่ปิดอยู่ค่อย ๆ ลืมขึ้น หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างมึนงง ก่อนจะหันกลับมามามองเขา ถึงแม้ว่าในห้องขังนี้จะค่อนข้างมืดอีกทั้งตอนนี้เป็นเวลากลางคืนจึงไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา แต่แสงไฟจากตะเกียงก็ส่องสว่างพอจะทำให้มองเห็นดวงตาสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟส่องประกายอยู่ในความมืด ลมหายใจของฟางจวินถึงกับสะดุดเหมือนเขาจะหยุดลืมหายใจไปชั่วขณะ ยืนมองดวงตาคู่สวยเหมือนต้องมนตร์ได้แต่ครางอยู่ใน
‘นี่ท่านอ๋องจับนางฟ้าตกสวรรค์มาหรืออย่างไรนะ’
“คุณเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน?”
พรชิตาเอ่ยปากถามด้วยความตกใจกลัว เมื่อเห็นตัวเองมาอยู่ในห้องขังที่ทั้งชื้นและเหม็นอับแบบนี้ แล้วยังมีผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้อีก
“ว่าไง คุณเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน?”
หญิงสาวยังคงทวนคำถามเดิมกับผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แม้เขาจะมีหน้าตาหล่อเหลา แต่กลับดูน่ากลัวในความรู้สึกของเธอ
“หือ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงเมื่อได้ยินแค่เสียงแบะ ๆ จากสาวงามตรงหน้า นี่นางเป็นใบ้หรอกหรือ เห็นแบบนี้แล้วก็อดสงสารไม่ได้
“เจ้าออกไปกับข้า”
พรชิตาถอยร่นหนีทันที เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น เสียงเหล็กดังกระทบกันที่ข้อเท้า ทำให้เธอรีบก้มหน้าลงมอง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นโซ่ตรวนที่ข้อเท้า เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่ชุดของเธอ แต่เป็นชุดจีนโบราณสีเทาเรียบ ๆ ไม่มีลวดลายใด ๆ ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอกัน
“เจ้าต้องไปกับข้า”
ฟางจวินตัดสินใจเดินเข้าไปจับมือหญิงสาวดึงนางให้ลุกขึ้นจากพื้น
ท่านอ๋องกำลังรออยู่ เขาไม่มีเวลามานึกถึงขนบธรรมเนียมใด ๆ แล้ว