ตอนที่ 9 โจรร้องให้จับโจร
เรื่องราวยังไม่ทันกระจ่าง จึงอยากรีบกราบทูลฮ่องเต้โดยไว เพื่อใช้โอกาสนี้ยุติการสมรสนี้ไปเสีย
เหอะ โชคยังดีที่มันกลายเป็นเธอ เหยาเซิงคนนี้ จึงไม่หลงเหลือความรู้สึกใดใดกับองค์รัชทายาทแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับชายหนุ่มชุดม่วงที่ไม่รู้ หายไปไหนแล้ว ความสง่างามนี้ราวกับดอกไม้ท่ามกลางสายหมอกท่ามกลาง แสงจันทร์ สวยงามจนเป็นที่ต้องตาของผู้คน
ตอนนั้นเองเหยาเซิงถึงนึกขึ้นมาได้ ในบทที่ท่านอ๋องคังและไพร่พลมาถึง ราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากเธอ แต่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นอยู่ไม่ไกลจากเธอ ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นปีศาจหรืออย่างไรกัน
เมื่อหันกลับไปมอง ถึงจะได้รู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงยังคงยืนอยู่ที่เก่า ไม่มีใครมองเห็นเขาอย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นสายตางุนงงของนาง ชายหนุ่มก็ยิ้มบาง ยืนด้วยท่าทีสบายๆอยู่ที่ตรงนั้น ไม่มีใครให้ความสนใจกับเขา ไม่มีท่าทีกังวลหรือสับสนแม้แต่น้อย ชายเสื้อพลิ้วไหวเล่นลม
เขาเชิดคางพยักเพยิดไปอีกทาง จึงได้รู้ว่าตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้ เหยาเชิงจึงมองตาม ถือว่าฉลาดยิ่งนัก
เบื้องหน้าคือหินประดับสวนก้อนสูงใหญ่ จากมุมสายตาของท่านอ๋องคัง ย่อมมองไม่เห็นเป็นแน่
เมื่อเห็นท่าทางของเขา จึงตัดสินใจไม่เอ่ยปากเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต กำลังรอดูฉากการแสดงอยู่เงียบๆอย่างนั้น งานอดิเรกที่แย่เช่นนี้ ช่างเหมือนกับเธอยิ่งนัก
เหยาเซิงลอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ ก็ดีการปรากฏตัวของเขาอาจจะเป็นปัญหา จนอาจทำให้แผนของเธอไม่สามารถดำเนิน ต่อไปได้
ไป๋หลี่รุ่ยที่อยู่ที่ห้องโถงและกำลังรับหน้ากับ ขุนนาง กลับถูกชายารองติงลากออกมา นางกล่าวว่าหาคังเสว่มี่ไม่พบ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง จึงอยากให้เขามาด้วยกัน
สำหรับคู่หมั้นพระราชทานตั้งแต่ที่เขายัง ไม่ทันได้เกิดนั้นไป๋หลี่รุ่ยเป็นตายก็ไม่มีทางชอบ ไม่ชอบการพูดคุยกับใคร ไม่ชอบการสบตากับผู้คน ไร้อารมณ์ หากไม่ใช่ว่าเคยได้พูดทักทายกันสองสามประโยคเขาก็คิดว่านางเป็นคนพิการไปเสียแล้ว
แต่ไป๋หลี่รุ่ยก็รู้ ที่เสด็จพ่อยังคงให้การสมรสครั้งนี้ยังดำเนิน ต่อไปเป็นเพราะคำสัญญาสุดท้ายที่ได้ให้ไว้กับ เสด็จปู่ กษัตริย์ตรัสแล้วห้ามคืนคํา ต่อให้ไม่ชอบใจ แต่ไป๋หลี่รุ่ยก็ยังคงต้องรักษาคำสัญญานั้น กับอ๋องคังต่อไป
เพียงแต่หญิงสาวที่เลือดอาบหน้าและยืนอยู่ แตกต่างกับคังเสว่มี่ที่เขาเคยเจอโดยสิ้นเชิง ข้างทะเลสาบในวันนี้บรรยากาศที่แปลกประหลาดในตอนนี้ กลับถูกแทนที่ด้วยความสง่างามที่น่าเหลือเชื่อ ร่างบางยังคงยืนหลังตรงอยู่ดั่งเก่า ราวกับต้นหลิวริมทะเลสาบ ให้ความรู้สึกที่สง่างาม และน่าดึงดูดโดยธรรมชาติ
และดวงตาคู่นั้นราวกับดอกไม้ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย ให้ความรู้สึกที่อธิบายยากแก่ผู้ที่พบเห็น และนั่นยังเป็นท่าทีสดใสที่หาดูได้ยากยิ่ง เบื้องหลังของนางนั้นคือทะเลสาบสีคราม แต่กลับทำให้นางดูบริสุทธิ์และเป็นที่ดึงดูด ต่อสายตาผู้คน เมื่อเทียบกับท่าทางปัญญาอ่อนในอดีต นางในตอนนี้ดูน่าใกล้ชิดยิ่งนัก
แววตาของไป๋หลี่รุ่ยแปรเปลี่ยนจากตื่นตะลึง จากความสงสัยแปรเปลี่ยนเป็นชื่นชม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้ไม่ได้สนใจคนที่คอยสังเกตเขาอยู่ ข้างๆตลอดอย่างคังเสี้ยเหอ เป็นคะนึงสงสัย
องค์รัชทายาทจากที่ไม่เคยชายตาแลเจ้า ตอนนี้นัยน์ตาล้ำลึกกลับฉายแววเจ้าเล่ห์ ปัญญาอ่อนนั่นมาก่อน จนนางต้องเอ่ยเรียกสติ
นางต้องดึงความสนใจขององค์รัชทายาท คังเสี้ยเหอกล่าวในใจ ใบหน้างามแปรเปลี่ยน ตื่นตกใจจนหน้าขาวซีด เสียงเล็กแหลมหวีดขึ้นมาด้วยอารามตกใจ
“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้ แม้สี่เอ๋อร์จะเป็นสาวใช้ที่น่ารำคาญ แต่ท่านไม่ควรใช้ความไม่พอใจของท่านมาใช้ฆ่าคนเยี่ยงนี้
หากนางทำผิดจริงๆ ท่านแค่ลงโทษนางก็เพียงพอแล้ว นั่นคนทั้งคนนะเจ้าคะ” เสียงนั้น ราวกับกับว่ากำลังหวาดกลัวอยู่จริงๆ
เหยาเชิงอดที่จะขยี้หูไม่ได้ เหลือบตามองหาเจ้าของเสียงที่น่าเกลียด นางมีรูปโฉมที่งดงาม เด็กสาวที่มีคิ้วที่รับกับใบหน้ารูปหัวใจ ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเล็กและปลายคางที่แหลมนั้นราวกับ โขลกมาจากพิมพ์เดียวกับชายารองติง นั่นย่อมเป็นคุณหนูสามคังเสี้ยเหอแห่ง ตำหนักเป็นแน่น่าขยะแขยงนัก นี่ใช่สำนวนที่ว่า “โจรแสร้งร้องให้จับโจร” หรือไม่