ตอนที่ 6 หยอกเย้า
ในคำพูดนั้น เต็มไปด้วยคำพูดหยอกเย้า
เหยาเชิงเงยหน้าขึ้น จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ชายหนุ่มผู้นี้ มีคิ้วและดวงตาที่ประณีตและสง่างามจน น่าตื่นตะลึงยากที่จะอดใจไม่ให้ขึ้นไปสัมผัสคิ้วและ ดวงตาคู่นั้นของเขา
งดงามจนยากที่จะมีใครเทียบไม่ว่าจะเป็น ของจริงหรือไม่ก็ตาม..แต่ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้นี้
สำหรับเธอแล้ว
เป็นเพียงคนแปลกหน้าก็เท่านั้น เธอไม่คุ้นชินกับการถูกโอบกอดนัก
เหยาเซิงคิ้วขมวด แล้วพลิกตัวออกมา บทที่กำลังจะเอ่ยปากด่าทอ เสียงฝีเท้าที่ห่างไกลก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
บทที่กำลังจะด่าทอ เสียงฝีเท้าก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ข้าให้สาวใช้มาเรียกคุณหนูใหญ่แล้วมิใช่รึ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้ช้าถึงเพียงนี้ ไม่แค่ให้แขกที่สำคัญต้องมารอนางแต่เพียงผู้ เดียวเท่านั้นแต่ข้าเริ่มกังวลแล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับ นางหรือไม่...”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนนี้ เมื่อเหยาเซิงได้ยินมัน ร่างกายก็สั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับกำลังกลัว ตื่นตระหนก ตื่นตกใจจนสั่นกลัวอย่างห้ามไม่ได้ คลื่นของความทรงจำที่ยุ่งเหยิง เริ่มไหลทะลักเข้ามาในหัวของเธอ
เจ้าของร่างที่เธอมาอยู่มีนามว่าคังเสว่มี่ บุตรสาวคนโตแห่งตำหนักอ๋องคัง
ตั้งแต่เด็กคังเสว่มี่เป็นคนเงียบขรึม ไม่สนใจผู้อื่น ไม่ชอบการพูด และไม่สนทนากับผู้ใด ไม่ชอบมีการปฏิสัมพันธ์ทางกายกับใคร มักจะอยู่เพียงตัวคนเดียวราวกับคน ปัญญาอ่อน
แต่เมื่อสำรวจเข้าไปในความทรงจำ เหยาเชิงก็ได้รู้ว่าเด็กสาวที่ชื่อคังเสว่มี่คนนี้ ก็มีความสามารถที่น่าจดจำไม่แพ้เธอเลย ถึงแม้จะไม่คลุกคลีกับผู้คน และไม่สามารถเข้าร่วมงานสังคมได้ แต่กลับชื่นชอบที่จะเล่าเรียน ภายในหัวนั้นมีแหล่งความรู้ขนาดใหญ่ นั่นทำให้เหยาเซิงรู้สึกตื่นตะลึง
แต่ในยุคปัจจุบัน นอกจากเรียนแล้ว เธอยังออกไปหาเงิน และเข้าร่วมกิจกรรมกับสังคม แต่คังเสว่มี่ ไม่เคยวอกแว่กจิตใจให้กับเรื่องอื่นเลย
เมื่อนำมารวมกัน เหยาเชิงพอจะรับรู้แล้ว คังเสว่มี่ที่ป่วยอยู่ ในยุคปัจจุบัน เรียกว่าโรคออทิซึม จากในความทรงจำและที่ได้เล่าเรียนมา จะมีพรสวรรค์มากกว่าคนทั่วไป
เด็กคนนี้หากได้รับความเอาใจใส่จากคนในครอบครัว บางทีอาจจะกลายเป็นนักวิชาที่หาจับตัวได้ ยากก็เป็นได้
มุมปากของเหยาเซิงโค้งขึ้นแสดงให้เห็นว่า เวลานี้นางกำลังรู้สึกขบขัน เกิดในชาติตระกูลที่สูงส่งหนำซ้ำยังได้รับงานสมรสที่มีเกียรติอีกด้วย
ราชวงศ์ฉีเทียนสถาปนามาแล้วสองรัชสมัยฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและอ๋องคังเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเมื่อสถาปนาราชวงศ์ขึ้นจึงมอบของรางวัล มอบพระตำหนัก และยังมีราชโองการการหมั้นหมายของบุตรธิดาเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิด
ผู้ใดจะไปรู้ว่าพระชายาของอ๋องคังจะคลอดลูกแฝดและหนึ่งในเด็กแฝดที่เป็นผู้หญิงที่กำเนิดขึ้นมาคือคังเสว่มี่
เกิดในครอบครัวที่สูงส่งและยังมีราชโองการงานสมรสที่ผู้คนต่างอิจฉา
แม่เมื่อลืมตาดูโลกกลับเป็นเด็กสาวที่ไม่ฉลาด ไม่พูดไม่จาจึงเป็นที่ขัดตาของใครหลายๆคนคังเสว่มีเป็นเด็กสาวที่หลับหูหลับตายึดถือ "เอาหูไปนาเอาตาไปไร ยึดถือแค่การอ่านหนังสือเป็นพอ"
จึงไม่ต่อต้านและไม่ให้ความสนใจใดใดกับ การสมรสครั้งนี้แม้แต่น้อย
แต่หากได้สมรสกับองค์รัชทายาท แล้วถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท กลายเป็นมารดาแห่งแผ่นดิน ด้วยตำแหน่งที่ทรงอำนาจ เธอจึงกลายเป็นที่ขัดหูขัดตา
เรียบเรียงทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ก็พบว่ามือของชายหนุ่มยังคงอยู่ที่เอวของเธอดั่งเก่า คิ้วขมวด แล้วจ้องใบหน้าหยกของชายหนุ่ม “มือของเจ้าทากาวไว้อย่างนั้นหรือ” เหยาเชิงดึงสติกลับมา
“หือ” ชายเสื้อม่วงยักคิ้วหลิ่วตา แต่ฝ่ามือกลับไม่ขยับออกแม้แต่นิด ราวกับไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อ
จึงแค่นเสียงในลำคอด้วยความสงสัย
ช่างเป็นบุคคลที่แปลกเสียจริง การกอดเธอไว้มันทำให้รู้สึกดีถึงเพียงนั้นเลยหรือ ท่าทางเช่นนี้นอกจากได้กอดเอวเธอ ยังมีประโยชน์อะไรอีกอย่างนั้นหรือ?
ในที่สุดชายหนุ่มชุดม่วงก็ได้เห็นเด็กสาวหน้า
ดวงตาสุกสกาวกำลังแสดงออกว่าเริ่มหมดความอดทน ราวกับมีหมอกควันบางๆปกคลุมเอาไว้ “หากมันไม่ได้ถูกทากาวไว้ เจ้าจะช่วยเอามือของเจ้า ออกจากเอวของข้าได้หรือไม่”