บทที่ 1 - โลกคู่ขนานที่มีอยู่จริง 2
ดังนั้นตลอดระยะเวลาเก้าเดือน ทั้งฮองเฮาและนางกำนัลผู้นั้นก็ไม่เคยย่างกรายออกจากตำหนักเลยแม้แต่น้อย จวบจนนางกำนัลผู้นั้นคลอด เด็กชายที่เกิดมาจึงถูกเข้าใจว่าเป็นโอรสของฮองเฮาและเป็นพระโอรสพระองค์แรกของฮ่องเต้
และเพื่อความมั่นคงในตำแหน่งที่ครอบครองอยู่ ฮองเฮาจึงได้ลงมือฆ่านางกำนัลผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าขององค์ชายใหญ่ทิ้ง ทันทีที่หยางเว่ยหลงอายุครบหกเดือน และปิดปากคนอื่นๆ ทุกคนที่รู้ความจริงทั้งหมด
และเมื่อหยางเว่ยหลงได้รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วมารดาผู้ให้กำเนิดถูกสตรีที่เขาเรียกว่าเสด็จแม่มาตลอดชีวิตฆ่าตาย ชายหนุ่มวัยสิบห้าก็เข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้นกับในทันที และนั่นก็เป็นโอกาสดีให้ฮองเฮาสามารถสังหารเขาได้
ทว่าคนที่วิ่งเข้ามารับคมมีดสั้นของฮองเฮาแทนเขานั้นกลับเป็นหลี่จิ้น สหายสนิทคนเดียวที่หยางเว่ยหลงมี
หลี่จิ้นถูกมีดสั้นของฮองเฮาแทงเข้าตรงหัวใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายสังหารฮองเฮาให้ตายตกไปพร้อมๆ กัน
ประโยคสุดท้ายที่หลี่จิ้นพูดไว้ก่อนสิ้นใจ นั่นคือให้เขาช่วยดูแลน้องสาวของอีกฝ่ายให้ดี และหลังจากที่จัดการเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย หยางเว่ยหลงก็เรียกตัวหลี่ชิงเยว่เข้าวัง
ในตอนนั้นนางมีอายุเพียงสิบหนาว ยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยความวุ่นวายและความไม่สงบของบ้านเมือง จึงทำให้นางต้องสูญเสียคนในครอบครัวที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไป
ตระกูลหลี่เดิมทีเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง แต่ด้วยความมุมานะ บิดาของหลี่จิ้นจึงสามารถสอบได้ตำแหน่งจองหงวน และรับราชการเรื่อยมาจนได้ครองตำแหน่งขุนนางขั้นสองเป็นเจ้ากรมยุติธรรม
บิดาของหลี่จิ้นมีบุตรเพียงสองคนเท่านั้นคือหลี่จิ้นกับหลี่ชิงเยว่ ด้วยเพราะหลังจากที่ผู้เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวตายภายหลังคลอดบุตรสาวได้เพียงสองปี บิดาของหลี่จิ้นก็ไม่ได้แต่งงานใหม่
และด้วยหน้าที่การงานของเจ้ากรมยุติธรรม ความซื่อสัตย์และเที่ยงตรงของเขาจึงไปขัดขวางผู้มีอำนาจผู้หนึ่งเข้า ทำให้ถูกฆ่าตายอย่างปริศนาในตอนที่หลี่ชิงเยว่อายุได้เก้าหนาว และพอมีอายุสิบหนาว พี่ชายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ต้องมาตายตกแทนหยางเว่ยหลง บุคคลผู้ที่กำลังยืนทอดถอนหายใจอยู่ริมหน้าต่างในเวลาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้
“ทรงบรรทมไม่หลับอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเฉิง ขันทีข้างกายคนสนิทเดินเข้ามาในห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิพร้อมกับเอ่ยถาม
“อืม...รู้สึกเบื่อๆ” หยางเว่ยหลงเอ่ยขึ้นคำหนึ่ง
“เช่นนั้นเสด็จตำหนักในดีไหมพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จวังหลังมาหลายเดือนแล้ว”
ด้วยเพราะเวลานี้จักรพรรดิหยางเว่ยหลงมีพระชนม์มายุยี่สิบห้าชันษาแล้ว ทว่ากลับยังไร้ซึ่งทายาททั้งโอรสธิดา ทั้งๆ ที่มีเหล่าสนมชายาอยู่ในวังหลังไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นองค์ฮองเฮาหรือเฟยทั้งสี่ แต่จนป่านนี้กลับยังไม่มีผู้ใดสามารถตั้งครรภ์มังกรถวายองค์จักรพรรดิได้
ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากตัวขององค์จักรพรรดิเอง ที่มิทรงโปรดเสด็จเยือนฝ่ายในสักเท่าใด จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าขุนนางมักจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังอยู่บ่อยๆ โดยใช้เรื่องการสืบเชื้อสายขององค์จักรพรรดิเป็นข้ออ้าง
ในขณะที่จุดประสงค์ที่แท้จริงกลับเป็นการอยากส่งบุตรหลานของตนเองเข้าวัง เพื่อสร้างฐานอำนาจของตนเองในราชสำนัก
“ไม่ได้ไปแต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีมิใช่รึ? หรือว่ามีปัญหาใดที่ฮองเฮาแก้ไขไม่ได้”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ทุกตำหนักในวังหลังเรียบร้อยดีทุกประการ”
เงียบเชียบเรียบร้อยดีจนถึงขึ้นจะกลายเป็นตำหนักร้างไปแล้วทั้งๆ ที่มีคนอยู่พ่ะย่ะค่ะ ซิ่นเฉิงเอ่ยต่อในใจ
“เช่นนั้นแล้วจะไปทำไม”
หยางเว่ยหลงเอ่ยแล้วเดินกลับไปนั่งลงบนเตียง สายตาของจักรพรรดิหนุ่มมองไปยังขันทีคนสนิท ที่ทำหน้าเหมือนยังอยากจะพูดอะไรต่อ
“มีอะไรก็ว่ามา” หยางเว่ยหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดจะรำคาญ
“ทูลถามฝ่าบาท ต้องการให้กระหม่อมนำป้ายมาให้ทรงเลือกไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“คราวนี้เป็นใครอีกล่ะ” หยางเว่ยหลงเอ่ยถามกลับโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่ซิ่นเฉิงถาม
“กราบทูลฝ่าบาท เป็นเสนาบดีกรมขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินแล้วหยางเว่ยหลงก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ ชายหนุ่มเอนกายลงบนเตียงพลางคิดหาทางสั่งสอนเสนาบดีผู้นั้นอยู่ในใจ
“ซิ่นเฉิง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“พรุ่งนี้ส่งคนไปที่จวนเสนาบดีกรมขุนนาง บอกเขาว่าภายในเจ็ดวัน หากบุตรสาวของเขาไม่ออกเรือน เราจะมอบราชโองการแต่งงานให้...ให้นางแต่งเข้าจวนเสนาบดีราชเลขาธิการในตำแหน่งอนุ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ซิ่นเฉิงรับคำเจ้าเหนือหัวก่อนจะทูลลาแล้วเดินออกจากห้องบรรทมของพระองค์ไป ขันทีวัยชราส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
เสนาบดีราชเลขาธิการนั้นเป็นผู้ใด?
ปีนี้บุรุษผู้นั้นมีอายุปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว ยังจะทรงให้แต่งอนุเข้าจวนอีก ฝ่าบาททรงกลั่นแกล้งรังแกคนอีกแล้ว...
ทว่านั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อขุนนางผู้นั้นชอบล่วงล้ำเขตหวงห้ามขององค์จักรพรรดิอยู่เสมอ โดนเอาคืนบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควร
สิ่งที่หยางเว่ยหลงไม่ชอบมากที่สุด คือการที่บรรดาขุนนางในราชสำนักมักจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหลังบ้านของเขา