ตอนที่ 4 กล่องดวงใจ
ทางด้านเรือนของอนุเจียว ได้รับการแจ้งแล้วว่า คืนนี้อันอ๋องจะเสด็จมา หญิงสาวรีบแต่งกายให้ดูงดงามและเย้ายวน นานแล้วที่ท่านอ๋องไม่มาเยือนเรือนของนาง ล่าสุดก็คงอาจจะเป็นหนึ่งปีที่แล้วกระมัง
เจียวอินจดจำอันใดไม่ได้นัก แม้การมาของท่านอ๋อง นางจะเฝ้ารอคอยอย่างจิตใจจดจ่อ ทว่าเมื่อมาถึงท่านอ๋องก็มักล้มตัวลงนอน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อยนิด ความหวังของนางก็มักพังทลายลงทุกครา
วันนี้นางหวังว่าท่านอ๋องกับนางจะร่วมอุ่นเตียงด้วยกัน หญิงสาวกำชับสาวใช้ ให้ไปนำกำยานปลุกกำหนัด แล้วจุดใต้เตียงนอน สีหน้าของนางมีความสุขยิ่งนัก เมียงมองใบหน้าอันผุดผ่องด้วยกระจกขัดเงาที่อยู่ในมือของนาง
ทว่านางนั่งรอแล้วรอเล่า ผ่านมาแล้วครึ่งชั่วยามท่านอ๋องก็ยังไม่มา กำยานปลุกกำหนัดที่จุดเอาไว้มันเริ่มออกฤทธิ์เสียแล้ว ด้วยความร้อนรุ่ม มิรู้จะหาวิธีใดคลายกำหนัดของตนเอง หญิงสาวยืนบิดม้วนไปมาด้วยความงุ่นง่าน เดินวนเวียนอยู่ในห้องอย่างเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้าง
สาวใช้นั่งอยู่หน้าประตูห้อง นั่งสัปหงกหงึกหงักอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังไร้วี่แววของท่านอ๋องจะมาเยือนในคืนนี้ หญิงสาวกระวนกระวายใจนัก นั่งชะเง้อจนคอยาวเขาก็ยังไม่มาอีก อนุเจียวหรือเจียวอินแง้มประตูส่องออกไปข้างนอก เห็นเพียงสาวใช้กำลังนั่งหลับอยู่
“ท่านอ๋องเล่า” เจียวอินแทบจะอดทนรอไม่ไหว กายสาวสั่นระริกเข้าให้ ร้อนรุ่มในกายไม่จางหาย
“ยังไม่มาเลยเจ้าคะ จะให้ข้าน้อยไปตามหรือไม่เจ้าคะเจียวอี๋เหนียง” สาวใช้รีบลุกขึ้นยืน เสยเส้นผมที่ปกดวงหน้าเมื่อครู่ กลัวว่าเดี๋ยวนายสาวของตนจะพาลโกรธเกรี้ยวเอาได้
“ไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวท่านอ๋องจะกริ้วเอา” นางกล่าวจบจึงปิดประตูแล้วลงดาลอย่างรวดเร็ว เดินไปด้านใน หย่อนกายนั่งลงบนเตียงกว้าง ถอดอาภรณ์ออกจนเปลือยเปล่า มือเรียวสอดเข้าใต้หมอน หยิบแท่งหยกมาบำเรอตนเองทันที
สาวใช้ได้ยินเสียงแว่วจากด้านใน แนบใบหน้ากับประตูก็ได้ยินเสียงชัดยิ่งนัก ใบหน้าของนางจึงเห่อร้อนขึ้นมา ยกมือขึ้นปิดใบหน้ากำลังแดงเรื่อด้วยอาการกระดากอาย
ทางด้านอันอ๋อง เดินวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องบรรทมของซ่งฟางหรู นางไม่เปิดประตูให้เสียที เฝ้ารอคอยอย่างหงุดหงิดมาได้พักใหญ่แล้ว สิ้นสุดความอดกลั้นอดทน
ปัง ปัง เขายกเท้าขึ้นถีบประตูจนเกิดเสียงดังแล้วยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดุดันนัก “นี่ เปิดประตูให้ข้า ข้าง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว”
ซ่งฟางหรูหรือจะเปิดประตูให้คนถ่อย ใบหน้ามิได้ยิ้มแย้ม กลับดูเย็นชายิ่งนัก ยามนี้กำลังนอนเอนหลังอยู่บนเตียง ในมือของนางถือตำราทางการแพทย์เอาไว้ ก่อนจะมายังแคว้นเหลียน พี่รองมอบตำราเล่มนี้ให้แก่นาง เผื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ได้บ้าง
“ง่วงก็ไปนอนห้องของท่านสิ จะมาวุ่นวายข้าทำไมกัน ข้าง่วงอยากพักผ่อน” นางปิดตำราลงอย่างคนหงุดหงิด จึงตะคอกกลับไปอย่างไม่พึงพอใจนัก
“ข้าเป็นสามีของเจ้านะ ซ่งฟางหรูเจ้าลืมไปแล้ว หากไม่รีบเปิดออกมา ข้าจะพังประตูเข้าไป เร็ว ๆ เข้า อย่าให้ข้าใช้กำลังนะ” เหลียนเจาอันอ๋องคำรามข่มขู่เสียงดัง ข้างกายไร้ผู้ติดตามดูแล เขายืนมือไพล่หลัง แต่ปลายเท้ากำลังถีบประตูอยู่ไม่จบไม่สิ้น
ซ่งฟางหรูเดือดดาลยิ่งนัก หากไม่ติดว่าที่นี่คือแคว้นเหลียนแล้วละก็ นางจะเปิดประตูสังหารชายผู้นี้เสีย มักทำให้นางหงุดหงิดใจทุกครา รบกวนเวลาส่วนตัวของนางยิ่งนัก
นางตะคอกเสียงดังกลับไป มิสนว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร “บิดาเจ้าสิ เจ้าลูกเต่า ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า อย่าได้มาระรานข้าอีก ไปหาหวังเหมยฮัวชายารักของเจ้าโน่น”
เหลียนเจาอันอ๋อง หน้านิ่วคิ้วขมวด ได้ยินเสียงตะคอกของนาง ก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดอยู่มากโข ยากนักจะข่มใจให้เย็นลงได้ เขายังคงเดินวนเวียน ในใจครุ่นคิดอย่างวุ่นวายใจนัก
มิเคยมีใครกล้ากระทำตัวเยี่ยงนี้ใส่เขามาก่อน นางคือคนแรก และเขาจะไม่ยอมให้นางอยู่เหนือเขาเป็นแน่
ยังไม่ทันที่เหลียนเจาอันอ๋องจะบันดาลโทสะ ก็ถูกนางกำนัลผู้หนึ่งพบให้อย่างจงใจ “อันอ๋องเพคะ ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว เกรงว่าอาจจะรบกวนการพักผ่อน ถ้าอย่างไร เชิญเสด็จกลับตำหนักหยกงามดีหรือไม่เพคะ”
ชิงปี้คิดเอาไว้ว่า ท่านอ๋องคงไม่ได้ไปพบกับอนุเจียวเป็นแน่ จึงแอบมาดู แล้วก็พบว่าท่านอ๋องเดินวกไปวนมาอยู่เช่นนี้
แล้วยังถอนหายใจอีกด้วย คาดว่าพระทัยของท่านอ๋องคงตกอยู่กับซ่งฟางหรูจวิ้นจู่แห่งแคว้นซ่งแล้วเป็นแน่
“เปิ่นหวางเพียงแค่แวะมาดูนางว่าขาดเหลืออะไรบ้างหรือไม่ คงไม่ต้องให้บ่าวอย่างเจ้ามาสู่รู้กระมัง” เหลียนเจาขึ้นเสียงใส่ชิงปี้ นางกำนัลเข่าอ่อนทรุดกายลงบนพื้น ก้มหน้าก้มตาด้วยความหวาดกลัว
ชิงปี้ ลนลานทำอันใดไม่ถูก “บ่าวไม่กล้าเพคะ อันอ๋องอย่างทรงกริ้ว โปรดอภัยให้บ่าวผู้ต่ำต้อยด้วยเพคะ” นางกล่าวตะกุกตะกัก รู้สึกว่าดวงตาอันมืดดำนั้นจ้องมองมาที่นางมิหยุดหย่อน
ประตูถูกเปิดออกโดยซ่งฟางหรูสวมอาภรณ์สีขาวด้านใน เรือนร่างช่างอรชรเย้ายวนยิ่งนัก
แม้นางจะสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินแล้วก็ตามที ช่างขับเน้นใบหน้าของนางให้ผุดผาดนัก กลับดูงดงามสะสวยยิ่งนัก ทำให้อันอ๋องเหลียวมองยังด้านหลัง ตกตะลึงให้ความงามเพริศพริ้งของภรรยาสาว
“เชิญเพคะ” ที่เปิดประตูให้เขาก็เพราะกลัวเขาเสียหน้า ถึงอย่างไรเจ้าลูกเต่าผู้นี้ ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนาง
แม้จะหยาบกระด้าง ชั่วช้าไปบ้างก็ตามที เขาทำร้ายนางด้วยวาจาครั้งแล้วครั้งเล่า นางจะถือโทษโกรธเคืองก็ใช่เรื่อง เพราะนางก็ยอกย้อนอย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน
“ชิงปี้ อย่าได้มารับกวนเวลาของเปิ่นหวาง หากเจ้ายังคิดมาวุ่นวาย รับรองว่าเสร็จงานพรุ่งนี้ หัวของเจ้า...” เขายังกล่าวไม่จบ ชิงปี้ก็ร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นเทาเสียแล้ว
“บ่าวไม่กล้าเพคะ เชิญอันอ๋องตามสบาย บ่าวขอตัวเพคะ” ใครเล่าจะไม่กลัวบ้าง หากถูกตัดหัวขึ้นมา ครอบครัวของนางจะทำเช่นไร อีกทั้งนางยังอยากมีชีวิตอย่างสุขสบาย แม้จะรับใช้เจ้านายที่อารมณ์แปรปรวนก็ตามที
หลังจากชิงปี้ลุกขึ้นแล้วหมุนกายออกไป นางหวาดกลัวสายตาอันเหี้ยมเกรียมของอันอ๋องยิ่งนัก น้อยครั้งที่จะเห็นสายตาดุจปีศาจมัจจุราชเช่นนี้
มิรู้ว่าซ่งฟางหรูจวิ้นจู่ผู้นั้นมีอันใดดี ถึงทำให้อันอ๋องติดอกติดใจจนเลือกที่จะมาตำหนักรับรองเฉินเซียวในวันนี้ แทนที่จะไปยังเรือนของอนุเจียว
“กว่าจะเปิดประตูได้” ชายหนุ่มตัดพ้อ เดินก้าวเข้ามาในห้องแล้ว เขาดันร่างบอบบางติดกับกำแพง เชยปลายคางของนางขึ้นมา กดจมูกโด่งคมสันลงซอกคอขาวระหงของนาง
แต่กลับรู้สึกปวดร้าว จวนเจียนแทบขาดใจ ชายหนุ่มล้มตัวลงบนพื้น ฝ่ามือหนากุมหว่างขาของตนเองเอาไว้ ใบหน้านั้นแดงก่ำเสียยิ่งกว่าผลอิงเถาเสียอีก
ส่วนหญิงสาวผู้กระทำข่มเหงชายหนุ่มได้แต่มองเขาที่นอนดิ้นตัวขดตัวงอ ราวกับกุ้งถูกน้ำร้อนลวกเสียอย่างนั้น “เปิดแล้วเป็นเช่นไร อยากให้ข้าเปิดมิใช่รึ เป็นท่านไม่ระวังเองต่างหาก”
เจ้าของห้องนอนถึงกับหัวเราะเยาะ เห็นเขาหน้าดำหน้าแดงก็นึกสาแก่ใจนัก ไม่คิดว่าเขาจะโง่งมถึงเพียงนี้ เป็นถึงอันอ๋องแต่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมสตรีเสียบ้าง
เหลียนเจาหน้าแดง หายใจติดขัดยิ่งนัก ทุรนทุรายรวดร้าวราวกับกล่องดวงใจของเขาแหลกเหลว เขาเอ่ยพูดอย่างทุกข์ทรมาน “ช่างพยศยิ่งนัก หากข้าไม่สามารถมีลูกได้จะทำเยี่ยงไร”
“เจ้านี่มันก็อยู่ดีมิใช่หรือไง” นางย้อนถาม เหลือบมองไปยังหว่างขา ด้วยสายตาดูแคลน
เหลียนเจาชักสีหน้าตะคอกเสียงดังขึ้น “ก็ข้าบอกแล้วไง หากมีลูกไม่ได้จะทำเยี่ยงไร เห็นทีว่าเจ้าจะชดใช้ไม่หมดเสียแล้วนะซ่งฟางหรู”