ตอนที่ 2 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ซ่งฟางหรูเดินทางถึงเมืองหลวงของแคว้นเหลียนแล้ว มีขบวนต้อนรับยาวเหยียดสุดหูสุดตา เพื่อมิให้นางรู้สึกอับอายหรือเสียหน้า แม้การเดินทางครั้งนี้ ไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควรนัก ก็เพราะระหว่างทาง หญิงสาวต้องรับมือกับตัวปัญหาอย่างอันอ๋อง ที่คอยมาระรานนางตลอดการเดินทาง
เมื่อมาถึงเมืองหลวง หญิงสาวจากต่างถิ่นฐานบ้านเกิด มิได้ชื่นชมแคว้นศัตรูนัก ไม่แม้กระทั่งจะเปิดม่านหน้าต่างออกมาชื่นชมความคึกคักในครานี้ นางได้ยินเสียงเซ็งแซ่ตลอดการเดินทางผ่าน ผู้คนที่นี่ล้วนพูดจาดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยาม นางจะยิ้มยินดีหรือก็หาใช่ไม่ จะโกรธแค้นเคืองคนพวกนี้ก็หาใช่เรื่อง
ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวถึงหน้าวังหลวงแล้ว หวงตี้มีรับสั่งให้นำตัวสะใภ้คนใหม่เข้าวังเป็นการด่วน หนึ่งอยากพานพบหน้า สองอยากรู้ว่ามีนิสัยแข็งกร้าว กระด้างกระเดื่องหรือไม่ พระองค์ได้รับข้อมูลว่า นางคือจวิ้นจู่ของชินหวางปีศาจแห่งแคว้นเหลียน อยากรู้นักว่าลูกไม้จะหล่นไกลหรือไกลเท่านั้น
ซ่งฟางหรู ถูกเชิญเข้าไปในท้องพระโรง ด้วยมีรับสั่งจากหวงตี้แห่งแคว้นเหลียน เจ้าสาวสวมชุดแดง มีผ้าคลุมหน้าผืนบาง ย่างก้าวอย่างระมัดระวัง แผ่นหลังเหยียดตรง ท่วงท่าทั้งสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก
ถูกจับจูงโดยนางกำนัลคนสนิท นามว่าอี้ผิง ด้านหลังของนางมีผู้ติดตามมาปรนนิบัติรับใช้ คือลี่จิน และพวกนางมีวรยุทธ์ถึงแม้ไม่เก่งกาจนัก แต่ก็ดูแลปกป้องเจ้านายได้ดีทีเดียว
ซ้ำยังมีองครักษ์ข้างกายที่ติดตามมาสองคน คือ มู่หาน และเว่ยหยาง สองคนนี้เป็นยอดฝีมือแห่งวังหลวงแคว้นซ่ง ถูกส่งมาให้คอยอารักขาปกป้องจวิ้นจู่ยังแคว้นเหลียนแห่งนี้
ฮ่องเต้แห่งแคว้นเหลียน ทอดพระเนตรมองมายังเบื้องล่าง ที่เห็นว่าสะใภ้คนใหม่ ไม่มีทีท่าโอนอ่อนสักนิด กลับดูหยิ่งผยองยิ่งนัก เช่นนั้นสุรเสียงจึงดังกึกก้องดุดัน “เหตุใดไม่คุกเข่า”
“เหตุใดหม่อมฉันต้องคุกเข่าด้วยเพคะ แม้กระทั่งเสด็จลุงเป็นถึงฮ่องเต้แคว้นซ่ง หม่อมฉันก็หาได้คุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ไม่” ในเมื่อนางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้แคว้นเหลียน
ยามอยู่แคว้นซ่ง นางก็มิเคยคุกเข่าให้ท่านลุงแต่อย่างใด นับประสาอันใดกับบิดาของสามี ที่นางหาได้ยินดีจะอภิเษกด้วยแต่อย่างใด หากวันนี้ยินยอมคุกเข่าแต่โดยดี ภายภาคหน้านางจะต้องคุกเข่ากราบกรานคนถ่อยพวกนี้เช่นนั้นหรือ
วันนี้หาได้ยินดี วันหน้าก็หายินดีไม่
“ฮ่า ๆ พวกเจ้าเห็นหรือไม่ สะใภ้ของเราองอาจ หยิ่งผยองนัก” เหลียนฝานหวงตี้ ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ เข้าใจแล้วว่านางคือนางปีศาจน้อยจริง ๆ ดุดันไม่เกรงกลัวต่อผู้ใด
มิน่าเล่าชินหวางซ่งหยางจงถึงได้หวงแหนนัก อีกทั้งยังได้ยินว่า ชินหวางผู้นั้นมีบุตรสาวบุญธรรม เป็นถึงลูกศิษย์ของท่านหมอเทวดาอีกด้วย คาดว่าซ่งฟางหรูคงจะมีพิษสงรอบตัว มิต่างจากบิดาที่เคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ออกรบทีไรก็มีแต่ชัยชนะทุกครา
“หม่อมฉันจะถือเป็นคำชมเพคะ ฝ่าบาท” หญิงสาวยอบกายลงอย่างงดงาม กวาดสายตามองไปยังด้านข้าง ทั้งซ้ายและขวา เหล่าขุนนางที่นี่ต่างก็พากันกระซิบกระซาบ กระนั้นอันอ๋องก็ยังยืนบื้อใบ้ คลายมิได้เอาปากมาด้วยเสียอย่างนั้น
“เอาละ เดินทางมาเหนื่อย ๆ วันนี้ทักทายกันเพียงเท่านี้ก็พอ ส่วนเรื่องอภิเษกนั้น” เจ้าของบัลลังก์มังกรอย่างรีบเร่งงานอภิเษกนี้ให้เสร็จโดยเร็ว ก็เพราะถูกไทเฮาทั้งขอร้องและข่มขู่ ยกความดีความชอบให้เหลียนเจาหลานรักของนาง
ทว่ากลับถูกซ่งฟางหรูช่วงชิงขัดเสียก่อน “ฝ่าบาท หม่อมฉันหาได้รีบร้อนไม่เพคะ”
มีหรือที่นางจะรีบร้อนจนเกินไปนัก นั่นก็เพราะมิอยากกลายเป็นพระชายาอย่างถูกต้องของอันอ๋องผู้เหี้ยมโหดคนนี้ นางมิสนใจว่าจะมีฐานะอันใดในแคว้นเหลียน แต่หากผู้ใดมารังแกระรานนาง นับจากนี้นางจะไม่ขอทน
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่นานถึงกับทนไม่ไหว “เสด็จพ่อ ลูกร้อนใจนัก อยากอภิเษกกับนางเสียตั้งแต่พรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” สตรีนางนี้แสนพยศยิ่งนัก กำราบอย่างไรก็ยังคงดื้อรั้นเช่นเดิม
อีกทั้งยังถือดีกล้าหาญหักหน้าของเขาอีกด้วย เช่นนั้นเขาจึงแก้เผ็ดเสียเลย รวบรัดแต่งกับนางเสียตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นไรไปดูสิว่านางจะมีแผนอันใดเลื่อนเวลามันออกไปอีก
“เจ้าลูกคนนี้ ช่างเร่งรัดนัก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก็จัดงานอภิเษกให้แก่พวกเจ้า จวิ้นจู่ ยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นสะใภ้แคว้นเหลียนของเรานะ” เหลียนฝานหวงตี้เกษมสำราญนัก เห็นลูกชายร้อนใจถึงเพียงนี้ ไยเขาจะต้องเลื่อนงานออกไปด้วย ความรักของหนุ่มสาวมันช่างลึกซึ้งยิ่งนัก
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” ซ่งฟางหรูน้อมรับด้วยจิตใจอันขมขื่น คิดถึงค่ำคืนนั้นทีไร ก้อนเนื้อหน้าอกข้างซ้ายเจ็บแปลบยิ่งนัก ชายผู้นี้เอาแต่เคี่ยวกรำนาง จนร่างกายแทบแตกสลาย
เขาทำโทษนางด้วยการย่ำยีความสาวของนางอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนที่สุด แม้ว่าจะเอ่ยขอร้องแล้ว แต่ก็เหมือนว่าคำพูดของนางเป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่านเสียอย่างนั้น
“ไม่ได้ ๆ ย่อมต้องเรียกเราว่าเสด็จพ่อ” เหลียนฝานตำหนิสะใภ้คนใหม่ และชื่นชมในน้ำใจที่กล้าหาญยิ่งนัก
ส่วนเรื่องการแท้งของชายารองของอันอ๋อง ย่อมต้องสืบให้กระจ่างชัดกว่าจะมั่นใจว่า ผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนกระทำ มองเพียงแวบเดียว ซ่งฟางหรูมิได้เป็นสตรีร้ายกาจ นางแข็งนอกอ่อนในเท่านั้น
ด้วยเพราะมั่นอกมั่นใจว่า ซ่งฟางหรูมิใช่คนร้ายอย่างแน่นอน นางเป็นถึงจวิ้นจู่ มิทำเรื่องต่ำทรามให้เสียชื่อเสียงเยี่ยงนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าลูกชายตัวดี หลงเชื่อคำยุยงปลุกปั่นของหวังเหมยฮัวเข้าเสียแล้ว
ทั้งยังมีเจ้าราชครูตัวดีที่คอยเป่าหูเสี้ยมสอน นับวันสกุลหวังจะมีอำนาจมากล้น เห็นทีว่าต้องกำจัดคลื่นลมนี้ให้เบาบาง มิเช่นนั้น แคว้นเหลียนอาจกลายเป็นหมากตัวหนึ่งของสกุลหวังก็เป็นไปได้
“เพคะ เสด็จพ่อ” นางไม่ได้เต็มใจจะเรียกสักหน่อย เพียงแค่ไหลตามน้ำไป ในเมื่อมาอยู่แคว้นเหลียนแล้ว อะไรที่ไม่คุ้นเคยย่อมต้องเรียนรู้เสียแล้ว
ทว่าการเรียกขานนี้ เหมือนกำลังหักหน้าราชครูหวังทางอ้อม กระทั่งญาติผู้น้องของเขา ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกขานว่า เสด็จพ่อ สักครึ่งคำ นี่อาจจะเป็นลางร้าย แจ้งสกุลหวังทางอ้อมหรือไม่
หวังเหยี่ยนเผยสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก กระทั่งมหาเสนาบดียังมองออกว่า หนนี้ฝ่าบาททรงโปรดปรานจวิ้นจู่จากแคว้นซ่ง มิใช่คุณหนูจากสกุลหวังอีกแล้ว
เมื่อการถามไถ่จบลง พรุ่งนี้จะเป็นวันอภิเษกแล้ว ซ่งฟางหรูถูกส่งให้นางไปพักยังตำหนักปีกซ้าย เป็นตำหนักที่กว้างขวางนัก
นางกำนัลถูกส่งมาให้รับใช้จวิ้นจู่ ต่างก็พากันกระซิบกระซาบว่า หวงตี้โปรดปรานจวิ้นจู่แคว้นซ่งถึงกับพระราชทานตำหนักที่เคยเป็นของไทเฮาให้พักอาศัย ส่วนไทเฮายามนี้หรือ พำนักอยู่ในตำหนักอีกฟากฝั่งหนึ่ง เป็นสถานที่ค่อนข้างเงียบสงบและร่มรื่นยิ่งนัก
ทันทีที่หญิงสาวก้าวผ่านประตู ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่วงท่าสง่างามดูเย่อหยิ่งยิ่ง “หากเปิ่นกงไม่เรียก พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา ออกไปให้หมด” สุ้มเสียงของนางมีร่องรอยสะกดกั้นความโกรธเอาไว้ ด้วยท่าทางอันน่าเกรงขามแต่กลับแฝงด้วยความองอาจทระนงตนนัก
“แต่ว่า หม่อมฉันถูกส่งมาให้ติดตามรับใช้จวิ้นจู่นะเพคะ” นางกำนัลพากันเลิกคิ้วอย่างสงสัย จะมีจวิ้นจู่ผู้ใดเหมือนกับนางหรือไม่ ที่ไม่อยากได้นางกำนัลเอาไว้ใช้งาน
“ไม่ได้ยินที่เปิ่นกงพูดหรือไร ออกไปให้หมด” นางขึ้นเสียงดัง คราวนี้เกรี้ยวกราดแล้ว นั่งรถม้ามาก็ปวดเมื่อยตัวจะแย่ ยังต้องมาคอยระแวดระวังคนพวกนี้อีก หาความสงบไม่ได้จริง ๆ ปกติแล้วนิสัยของนางมิได้เคร่งขรึมเยี่ยงนี้ แต่มาวันนี้ การกระทำใด ๆ ล้วนส่งผลถึงบิดาและมารดา รวมถึงแคว้นซ่งของนางด้วย
“มาถึงตำหนักก็วางท่าเสียแล้ว พวกเจ้าออกไป รวมถึงพวกเจ้าด้วย” อันอ๋องเดินตามพวกนางมาเงียบ ๆ ก็พบว่า ชายาผู้นี้ดุร้ายนัก เขากำราบปราบนางแล้วแต่ก็ยังพยศเอาเรื่องอยู่อีก เห็นทีว่าวันนี้คงจะต้องลงมือลงไม้นางอีกสักหน
“แต่ว่าหม่อมฉันต้องดูแลจวิ้นจู่นะเพคะ” อี้ผิงยืนขวาง ดวงตาหนักแน่นไม่ไหวติง จ้องมองไปยังอันอ๋องที่กดยิ้มราวกับปีศาจร้าย แววตาสาดประกายมืดดำอำมหิต เช่นนี้แล้วนางจะกล้าให้จวิ้นจู่อยู่กับอันอ๋องสองต่อสองได้อย่างไร มีหวังอันอ๋องผู้นี้คงรังแกจวิ้นจู่ของนางอีกอยู่ดี
“เปิ่นหวางจะดูแลพระชายาเอง หรือว่าพวกเจ้าอยาก....” ชายหนุ่มยิ้มเหี้ยม กระชากร่างบอบบางของซ่งฟางหรูเข้ามาโอบกอด นางพยายามดิ้นหนี แต่ก็ไม่เป็นผล
ผู้ตกอยู่ในอ้อมกอด ได้แต่ด่าทอขึ้นว่า “เจ้าคนชั่ว ปล่อยข้านะ เจ้าจะทำอะไร ข้าบอกให้ปล่อยอย่างไรเล่า” นางแผดเสียงดังต่อว่าต่อขาน แม้จะทุบตีเขาก็ไม่สะทกสะท้าน ยังยิ้มร่าอย่างคนอารมณ์ดีอีก
นางตะเบ็งเสียงจนแหบแห้ง แต่เขากลับกระชากผ้าคลุมหน้าของนางออก บดเบียดริมฝีปากหนากดจูบอย่างรุนแรง นางเผยปากให้เขาสอดลิ้นเข้ามา จากนั้นกัดเข้าให้ที่ปลายลิ้นของคนใจร้าย
“จะฆ่าข้าหรือไง” คนถูกกัดถึงกับต้องปล่อยนางให้เป็นอิสระทันที รู้สึกรสชาติของโลหิตไหลซึมไม่หยุดหย่อน ท่าทางแสนดื้อรั้นนี้ เขาจะทำอย่างไรดีถึงจะกำราบนางให้อยู่ในอุ้งมือของเขาได้นะ
“ใครใช้ให้ท่านมากระทำตัวป่าเถื่อนแถวนี้ ข้าบอกเอาไว้เลยว่า ข้าจะไม่ยอมถูกท่านย่ำยีอีกแล้ว” นางถอยห่าง มองเขาดันลิ้นเข้าที่กระพุ้งแก้ม แววตาเหี้ยมโหดอำมหิตจ้องมองนางอย่างเอาเรื่องถึงที่สุด แต่นางก็หาได้สลดหรือหวาดกลัวสายตานี้ของเขาเสียเมื่อไรกัน
“เหอะ...มานี่ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ว่า อย่าทำให้ข้าโมโห” เขาฉุดกระชากลากร่างบอบบางของนาง แล้วจับโยนขึ้นเตียงนอน ซ่งฟางหรูยกเท้าขึ้นถีบเข้าให้ที่ใบหน้าของอันอ๋อง เขาหงายหลังตกเตียงไปในที่สุด
หญิงสาวดึงปิ่นออกจากเกศาที่ถูกเกล้าเอาไว้อย่างสวยงาม แววตาของนางหาได้หวาดกลัวคนตรงหน้าไม่ นางยังชี้นิ้วไปยังอันอ๋อง ที่ลุกยืนแล้วจ้องมองมาด้วยความไม่พึงพอใจ
“ข้ามิใช่ลูกพลับนิ่ม ให้เจ้าขยำเล่นคลึงเล่นได้ตามอำเภอใจ แม้กายข้าจะเป็นของเจ้า แต่เจ้าไม่มีวันได้หัวใจข้า สิ่งที่เจ้ากระทำนั้นมันยิ่งกว่าเดรัจฉาน ข้าบอกไปตั้งกี่ครั้งว่าข้า ไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นนางที่หกล้มแล้วป้ายสีข้า”
ถ้อยคำตำหนิตัดพ้อนี้ มิได้ทำให้ซ่งฟางหรูร้องไห้แต่อย่างใด ในเมื่อนางเลือกเส้นทางนี้แล้ว จะมีผู้ใดดูแลปกป้องนางได้ตลอดรอดฝั่ง นางต้องลุกขึ้นมาปกป้องตนเอง แล้วกระชากหน้ากากหวังเหมยฮัวให้จงได้
เหลียนเจานิ่งอึ้งไป เห็นนางเกรี้ยวกราดเช่นนี้แล้ว เขาย่อมต้องปล่อยนางเอาไว้สักครา หากยังดึงดันอีกละก็ เห็นทีว่านางอาจจะกัดส่วนอื่นของเขาก็เป็นไปได้ และคืนพรุ่งนี้ เขาจะต้องมัดมือ มัดเท้าของนางเอาไว้ ไม่ให้นางกระทำหยาบช้า กล้าถีบหน้าสามีได้อย่างไรกัน
หากรู้ถึงไหนอายถึงนั่น ที่ถูกชายาถีบเข้าให้เยี่ยงนี้ ไม่คิดว่านางจะถีบจริง ๆ จึงไม่ได้หลบ ใครจะคิดว่า...นางร้ายกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก “ได้ วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าเอาไว้สักวัน รับรองว่าคืนพรุ่งนี้เจ้าจะร้องขอชีวิตอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มเดินหัวเสียอย่างหงุดหงิดใจ สีหน้าบึ้งตึงนัก หันกลับไปมองซ่งฟางหรูอีกครั้ง แต่เขากลับเห็นแววตาของนางสั่นระริก ดวงตาคู่สวยเมื่อครู่ที่จ้องจะฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้น ๆ กลับดูเอ่อคลอ หม่นหมองคล้ายเศร้าเสียใจเสียอย่างนั้น
อันอ๋องมิยอมใจอ่อนกับสตรีนางนี้เป็นอันขาด นางคือนางมารร้าย ที่พรากเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ที่เฝ้ารอคอยมาถึงสามปี เป็นเพราะนางที่ทำให้ชายารองของเขาแท้งครรภ์
เป็นเพราะซ่งฟางหรูที่ทำให้สตรีอันเป็นที่รักของเขาต้องเสียใจ นับจากนี้ไป ชีวิตของซ่งฟางหรู อยู่เพื่อเป็นเครื่องสังเวยความเคียดแค้นของเขาที่มีต่อนางเท่านั้น ถึงแม้ว่านางจะน่ารักน่าเอ็นดูสักเพียงใด เขาจะไม่ใจอ่อนกับนางเด็ดขาด
จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง นางจะต้องเป็นที่ระบายความใคร่ให้แก่เขา เมื่อเดินออกมา จึงกำชับเหล่าองครักษ์ด้านหน้า ด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
น้ำเสียงอัดแน่นไปด้วยความเกรี้ยวกราด “เฝ้านางเอาไว้ให้ดี อย่าให้นางออกจากตำหนักนี้ สักครึ่งก้าวเปิ่นหวางก็ไม่ยินยอม หากผู้ใดปล่อยนางให้ออกไปได้ละก็ คงจะรู้นะว่าหัวของเจ้าจะอยู่บนบ่าหรือไม่”