ตอนที่ 5 หน้าที่ที่พึงกระทำ
จินฝูรีบเก็บผ้าแพรนั้นให้พ้นจากสายพระเนตรท่านอ๋องในทันทีแต่มีหรือที่คนอย่างฉางอ๋องจะพลาดเพียงแค่เขาทำเป็นไม่สนใจเท่านั้นเมื่อสาวใช้ค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องและปิดประตูห้อง
“ทำไมหรือ ยังลุกไม่ไหวงั้นหรือเช่นนั้นจะให้ข้าแต่งกายให้เจ้าด้วยหรือไม่”
“ไม่ต้องเพคะ เพียงแค่แต่งตัวหม่อมฉันทำเองได้เพคะไม่รบกวนพระวรกายอันมีค่าของพระองค์”
“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังโกรธที่แพ้สินะ”
“หม่อมฉัน!!…เพียงแค่สลบไปก่อนไม่ถือว่าแพ้”
ท่านอ๋องทรงแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อยแต่กลับทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของฟู่ซิ่วอิงพองโตอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเขาเดินมาใกล้ ๆ และก้มลงมาหานางที่นั่งห่อตัวอยู่บนเตียง
“แพ้ก็คือแพ้ หากว่าเจ้าอยากจะแก้มือ คืนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า”
“ผู้ใด….ผะ ผู้ใดจะทำเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันจะแต่งตัวเชิญพระองค์ออกไปก่อน”
“ช่วยไม่ได้ตอนนี้ข้าเสร็จงานแล้วและกำลังว่าง อีกอย่างห้องนี้ก็ถูกจัดเป็นห้องของพวกเรา เจ้าคงไม่ว่าหากข้าจะนั่งอยู่ที่นี่ เชิญเจ้าแต่งตัวตามสบายข้าจะนั่งจิบชารออยู่ที่นี่และไปห้องเสวยพร้อมกับเจ้า เหตุใดยังไม่ลุกขึ้นมาอีก หรือจะให้ข้า…”
“ไม่เพคะ ไม่ต้องเพคะหม่อมฉันจัดการเอง”
ซิ่วอิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปยังด้านหลัง ชุดของนางถูกเตรียมเอาไว้หมดแล้วเหลือเพียงรอนางมาเปลี่ยน แต่ผมของนางนั้นยังต้องจัดทรงอีกมาก ซึ่งในเวลานี้ท่านอ๋องจึงเรียกสาวใช้ของนางเข้ามาช่วย
ไม่นานซิ่วอิงก็เดินออกมาจากห้องแต่งกาย นึกไม่ถึงว่านางสวมชุดเจ้าสาวเมื่อวานว่าดูดีแล้ว เวลานางสวมชุดลำลองเช่นนี้ก็จะงดงามไม่แพ้ผู้ใดจนเขาตกตะลึง
“หม่อมฉันแต่งตัวเสร็จแล้วเพคะ”
“เอ่อ…เช่นนั้นก็ไปเถอะเจ้าคงหิวแล้ว”
“เพคะ”
ท่านอ๋องเสด็จพร้อมกับพระชายาไปยังห้องเสวยที่มีซิ่วหมัวมัวคอยจัดการกับสาวใช้ในตำหนัก เมื่อทั้งสองมายังโต๊ะเสวยอาหารทุกอย่างก็ถูกนำขึ้นตั้งโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว
ซิ่วอิงหิวจนหูตาลายและกินทุกอย่างบนโต๊ะจนหมัวมัวแอบอดลอบยิ้มอย่างพอใจมิได้เพราะนาน ๆ จะมีผู้ที่ชื่นชอบอาหารที่นางสั่งทำและกินจนหมดเช่นนี้
“พระชายาเพคะ นี่เป็นยาบำรุงดื่มเสียหน่อยนะเพคะ”
“ยาบำรุงหรือ บำรุงอะไรกันข้าคิดว่าข้าก็แข็งแรงพอนะเจ้าคะหมัวมัว”
“ท่านอ๋องเองก็ต้องเสวยเช่นกันเพคะ”
ยาบำรุงกลิ่นโสมถูกนำมาวางให้ทั้งคู่หลังมื้ออาหาร ซิ่วอิงยกขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย รสชาติของยาไม่ได้แย่นักแต่ก็มิได้ดื่มง่ายเหมือนชาดอกไม้ที่นางโปรดปราน ท่านอ๋องเองก็ดื่มตามนางเช่นกัน
“นี่เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี เร่งฟื้นฟูกำลังเพื่อจะได้มีบุตรโดยเร็วเพคะ”
“อะไรนะ!!….มะ มีบุตรงั้นหรือ”
ซิ่วอิงหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยกดื่มยานั้นจนหมดด้วยสีพระพักตร์ที่เรียบเฉยราวกับรู้ดีอยู่แล้วว่ามันคือสิ่งใดแต่นาง!!….ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป
นางตั้งใจเพียงแค่จะใช้ตำแหน่งพระชายาเพื่อสืบหาคนร้ายที่ลอบสังหารนางเท่านั้นจากนั้นก็จะไปจากตำหนักอ๋องแต่กลับลืมคิดไปว่าหากต้องร่วมเตียงกับเขาเช่นนี้นางเองก็มีโอกาสตั้งครรภ์ด้วยเช่นกัน
“อืมมมเจ้าค่ะ ขอบคุณหมัวมัว….”
นางยิ้มอ่อน ๆ ส่งไปให้หมัวมัวที่ยังคงจัดแจงนำผลไม้มาวางเพื่อให้นางและท่านอ๋องล้างปาก แต่คนข้าง ๆ นางมิได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่หันมามองนางและหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อวิเคราะห์ความคิดของอีกฝ่าย
“พระชายา เจ้าคงไม่ลืมธรรมเนียมกลับไปเยี่ยมจวนสกุลฟู่นะ เราคงต้องจัดหาของขวัญเพื่อให้แม่ทัพฟู่และรองแม่ทัพไป๋ท่านแม่ของเจ้าด้วย”
“อ้อ เพคะของขวัญ ท่านพ่อท่านแม่นอกจากอาวุธและแผนกลยุทธ์การศึกนอกนั้นพวกท่านน่าจะชอบ….”
“มิใช่เรื่องเหล่านั้น ของขวัญต้องเป็นสิ่งที่ให้ตามความเหมาะสม สิ่งที่เจ้ากล่าวมาใช้เป็นของขวัญมิได้”
“เช่นนั้นพระองค์ก็คงเป็นชาชั้นดี ภาพวาดหายากจากนักวาดเลื่องชื่อหรือแท่นฝนหมึกและงานปักผ้าไหมชั้นเยี่ยมจากเจียงหนานอะไรพวกนั้นสินะเพคะ”
“อืมใช่แล้ว หมัวมัวรบกวนท่านจัดเตรียมเอาไว้ให้ทีก็แล้วกัน ถึงเวลาข้าจะได้นำไปมอบให้สกุลฟู่”
“เพคะท่านอ๋อง พระชายาเพคะกินผลไม้นี่เสียหน่อยนะเพคะจะได้มีแรง”
ซิ่วอิงหันไปมองอาหารและผลไม้แต่ละจานที่นางจัดมาวางให้ตรงหน้า หากมิได้เพิ่มพลังก็เพื่อเสริมให้มีแรง นางเริ่มมองหมัวมัวที่เอาแต่ยิ้มอย่างมีเลศนัยให้นางและเดินออกไปจากห้องเสวย ท่านอ๋องยังคงยกจอกชาจิบอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่นางกะจะให้หม่อมฉัน….”
“ใช่เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของพระชายาที่พึงกระทำมิใช่หรอกหรือ”
“หนะ หน้าที่หรือเพคะ มิใช่เพียงแค่แต่งงานแล้วคอยเดินตามพระองค์ ยิ้มท่าประหลาดเวลาออกงานและพักเงียบ ๆ ในตำหนักหรอกหรือเพคะ”
“เจ้าพูดอะไร หรือว่าลืมหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาของสตรีไปสิ้นแล้ว หรือว่าเจ้า…กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่”
ฟู่ซิ่วอิงคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องในยามปกติช่างดูเป็นคนเยือกเย็นและสุขุมดูสง่างามเช่นนี้ สายพระเนตรที่จ้องมาสบตากับนางราวกับพยายามจะอ่านเข้าไปถึงจิตใจ แม้ว่ายามอยู่บนเตียงเขาจะเร่าร้อนและดุดันเพียงใดแต่พยัคฆ์ฤาจะทิ้งลายสิ้นได้
“ข้าจะต้องพาเจ้าไปยังศาลบรรพชนอีก เจ้ากินเสร็จแล้วก็รีบเตรียมตัวเถอะ”
“พะ…เพคะ ตอนนี้เลยหรือเพคะ”
“ที่จริงเราต้องไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้วแต่ว่าเห็นแก่ที่เจ้าอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย ไปยามนี้ก็มิได้ผิดธรรมเนียมอันใดข้ามิใช่คนใจร้ายถึงเพียงนั้น ไปกันเถอะ”
“เพคะ”
พระชายาฟู่เดินตามท่านอ๋องเพื่อไปขึ้นรถม้าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ด้านหน้าตำหนัก เมื่อทั้งสองพระองค์ขึ้นรถม้าแล้วขบวนก็เริ่มเคลื่อนออกจากตำหนักท่านอ๋องมุ่งขึ้นเขายังอารามที่เชิงเขาด้านตะวันออกซึ่งเป็นพระอารามหลวงของราชวงศ์
อารามเซิ่งจวิ่น
“ถึงแล้วล่ะ”
ท่านอ๋องเดินนำนางลงจากรถม้าและยื่นพระหัตถ์มารอรับนางที่ด้านล่าง พระชายายื่นมือออกไปให้เขาจับและพาเดินไปยังหอบรรพชนด้านในซึ่งมีเพียงองค์พระประธานและแสงจากเทียนนับร้อยเล่มที่ถูกจุดก่อนที่พวกเขาจะมาถึง
“ศาลบรรพชนอยู่เมืองหลวง เอาไว้มีโอกาสเราค่อยไปกราบไหว้ แต่ที่พาเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจะมากราบไหว้ตามหลักพิธีการที่ถูกต้องเท่านั้น”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
ทั้งสองคุกเข่าลงและรับธูปที่เตรียมเอาไว้มาพร้อมกับคำนับไปสามครั้งและส่งธูปไปปักในกระถางเป็นอันเสร็จพิธี
“หม่อมฉันไม่เคยมาที่อารามแห่งนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีที่ที่หม่อมฉันไม่เคยไปมาก่อนในหลิงโจว”
“ที่นี่เป็นพระอารามหลวง นาน ๆ จะมีผู้คนเข้ามานอกจากเหล่าเชื้อพระวงศ์แล้วไม่ค่อยมีผู้ใดทราบเท่าใดนักแต่ก็มิได้ถูกละเลยเพราะทางราชสำนักยังส่งคนมาดูแลเป็นอย่างดี”
“หากมองจากตรงนี้ สามารถมองเห็นตำหนักพระองค์ได้อย่างชัดเจน น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเชิงเขาลูกนี้มาก่อนเลย”
“นั่นคงเป็นเพราะทางขึ้นที่ค่อนข้างสูงชันและเส้นทางที่มิได้อนุญาตให้ผู้ใดผ่านมามากนัก จึงไม่มีผู้ใดมา”
“เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นแล้วนอกจากพวกเรา….”
ฟู่ซิ่วอิงหันไปมองขบวนรถม้าที่พึ่งขึ้นเขาตามพวกเขามาติด ๆ ท่านอ๋องเองก็หันไปมองตามนางเช่นกันเมื่อเห็นว่านางหยุดพูดไป เขาก็นึกแปลกใจเช่นกันที่พบผู้อื่นในวันสำคัญเช่นนี้ ไม่นานนักคนในรถม้าก็เดินออกมาซึ่งทำให้พระชายาข้าง ๆ ของเขาถึงกับพ่นลมออกมาทางจมูกจนเขาได้ยินชัดเจน
“หม่อมฉันเมิ่งลี่ถิงถวายบังคมท่านอ๋อง…และพระชายาเพคะ”