บทที่ 7
“หึ! ตวนอ๋องรักการอ่าน มีหนังสือเล่มโปรดหลายเล่ม เจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเล่มใดหรอก!”
“หนังสือเล่มนั้นมีเพียงเล่มเดียว สิบปีก่อนยามที่ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส นอนพักอยู่ในค่ายทหาร ใกล้บ้านรองแม่ทัพเสวียน ยามนั้นเขานอนซมอยู่หลังม่านเพราะอาการบาดเจ็บ ข้าแวะเวียนไปเยี่ยมบิดา ซุกซนไม่เข้าเรื่อง แอบไปซ่อนในกระโจมนั่น เขาสั่งให้ข้าอ่านหนังสือให้ฟังเพื่อคลายความเบื่อหน่าย หันเหความเจ็บปวดจากบาดแผล กล่าวด้วยว่าหนังสือเล่มนั้นพกติดตัวตลอด อ่านเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อ ข้าถูกบังคับให้อ่านอยู่นาน จึงแกล้งเขาด้วยการวาดรูปไร้สาระลงไปในกระดาษแผ่นสุดท้าย”
เสวียนซือชิงจำได้ว่าท่านอ๋องที่นอนซมอยู่หลังม่านนั้นโกรธอย่างมาก แต่หากขยับเขยื้อนบาดแผลอาจปริแตก นางจึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิดที่สุด ได้ยินว่าเขาพยายามตามหาเด็กชายตัวเล็กที่ทำหนังสือมีตำหนิอยู่หลายวัน แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
นางไม่ใช่เด็กชายจะหาพบได้อย่างไรกัน
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง…
เฉินฟาหยางไม่ใช่คนยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน เขาเป็นถึงพระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน รั้งตำแหน่งตวนอ๋องมาตั้งแต่อายุได้สิบหกชันษา ได้รับความไว้วางใจให้ควบคุมดูแลกองทัพ ออกรบยามมีปัญหาบริเวณชายแดน แต่กระนั้นยามลำบากที่สุด ข้าวต้มที่ได้กินยังมีเมล็ดข้าวมากกว่าถ้วยเล็ก ๆ ที่เสวียนซือชิงนำมาให้เสียอีก
ได้ยินว่านางจะนำข้าวสารไปแลกไข่ เขาก็หมดความอยากอาหารทันที!
แม้จะเกลียดชังนางมาเพียงใด แต่เฉินฟาหยางกลับต้องยอมรับว่านางฉลาดรอบคอบเป็นอย่างมาก ทั้งยังไขข้อข้องใจที่คั่งค้างมานานว่าใครคือผู้ที่ขีดเขียนหนังสือเล่มโปรดของเขา
“ที่แท้มิใช่เด็กผู้ชาย”
เฉินฟาหยางลืมคิดไปว่าค่ายทหารไม่ใช่สถานที่สำหรับสตรี นางแต่งตัวเป็นบุรุษ ลอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบิดาย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาด ยามนั้นเขาต้องดาบของทหารเลวบริเวณแผ่นหลัง บาดเจ็บสาหัส แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ต้องนอนคว่ำและห้ามขยับตัวนานหลายวัน
คราวนั้นต้องดื่มกินสมุนไพรหลายประเภทเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด รู้สึกคล้ายมึนเมาตลอดเวลา นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาแยกแยะเสียงของเด็กน้อยที่อยู่หลังม่านไม่ได้
ย้อนหลังไปสิบปี ยามนั้นนางอายุเพียงแปดขวบ อ่านออกเขียนได้ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียว ทั้งยังเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยา นับว่าเสวียนซือเหยาสั่งสอนนางได้น่าประทับใจยิ่งนัก
แต่น่าประทับใจแล้วอย่างไร สุดท้ายรองแม่ทัพผู้นั้นก็ทำให้เขาผิดหวัง...
“ไปนำสุรามาเพิ่ม!” เฉินฟาหยางออกคำสั่งต่อเสี่ยวเอ้อร์ ไม่ลืมตบโต๊ะอย่างเอาแต่ใจอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวานเขาดื่มไปมาก สุราที่นำติดมือมาด้วยหมดไปเพราะความหนาวเหน็บ หากไม่ดื่มก็คงแข็งตายกลางพายุแล้ว พอนึกได้ก็รีบขอบคุณสวรรค์ที่นางไม่ได้แตะต้องสุราที่อยู่ในห้องเก็บสุรา ยี่สิบปีก่อนเป็นอย่างไร ยามนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น กระทั่งทุกห้องในตำหนักเยว่ฉีเองก็เช่นกัน
เว้นแต่ห้องนอนของเสวียนซือชิงที่ยังไม่ได้สำรวจดู
ในระหว่างที่รอศิษย์น้องอยู่ เฉินฟาหยางก็รำลึกถึงเรื่องราวในอดีต สามปีก่อนเขาถูกรองแม่ทัพเสวียนซือเหยาทวงสัญญา ว่าหากตนไร้ซึ่งลมหายใจก่อนที่บุตรสาวจะได้แต่งงานผ่านพิธีมงคล เขาจะต้องดูแลนางให้ดีและจะต้องอยู่ในตำแหน่งพระชายาเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเสวียนซือเหยาจะสิ้นลมหายใจก่อนที่บุตรสาวจะได้ออกเรือนจริง ซ้ำยังไม่ใช่เพราะคมดาบคมกระบี่ของข้าศึก แต่เป็นเพราะถูกประหารเนื่องจากขัดคำสั่งเขาผู้เป็นแม่ทัพ เป็นเหตุให้องค์ชายรัชทายาทเหวินจงเหลียนต้องสิ้นพระชนม์กลางสนามรบ องค์ชายรองเหวินฉีตกหน้าผา ตามคำบอกกล่าวของเหล่าทหาร ปรากฏว่าธนูปักอยู่เต็มแผ่นหลัง โอกาสรอดชีวิตจึงเป็นไปไม่ได้ มีเพียงองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูเท่านั้นที่รอดกลับมา
เพื่อรักษาคำพูดของตนแล้ว เขายอมแต่งสาวงามที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นได้ไม่นาน แต่จะให้รับเข้าจวนอ๋องในเมืองหลวง อยู่เป็นหนามตำตาตำใจ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ใช่คนใจกว้างมากถึงเพียงนั้น การยินยอมให้นางอยู่ตำหนักร้างที่เขาเกลียดชังไม่ต่างจากมารดา นับว่ามีเมตตามากพอแล้ว
“คุณชายขอรับ มีม้าตัวหนึ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม ไร้เจ้าของดูแล ทั้งยังดุร้ายไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ข้าน้อยเห็นผ้ารองนั่งตรงอานม้ามีลวดลายคล้ายเสื้อผ้าที่คุณชายสวมใส่อยู่ มิแน่ใจว่าเป็นม้าของคุณชายหรือไม่ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์รีบแจ้ง คุณชายท่านนี้ดูน่าเกรงขามกว่าแขกหลายคนที่แวะเวียนมายังโรงเตี๊ยม ทั้งยังหน้าตาบูดบึ้งคล้ายอารมณ์ไม่ดี จึงควรอยู่ให้ห่าง ไม่รบกวนหากไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนจำเป็น
“ย่อมต้องเป็นซวี่หยา เจ้าไปนำหญ้าและน้ำให้เขาดื่ม หาคอกที่สะอาดที่สุดให้ได้พักผ่อน”
ม้าตัวโปรดของเขาคือซวี่หยา ปกติแล้วสงบนิ่งอย่างมาก ทว่าฝีเท้าดีและดุดันยามออกศึก เป็นไปได้ว่าคืนที่ผ่านมาคงเหนื่อยเกินทนไหว บวกกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันเตลิดหนีไปชั่วคราว
แต่เรื่องนี้จะโทษซวี่หยาก็ไม่ได้ หากเขาไม่อยากเอาใจโฉมงาม ยอมขี่ม้าออกนอกเส้นทาง ป่านนี้คงนอนหลับสบายอยู่ที่ค่ายทหารแล้ว
ใช่แล้ว!
เฉินฟาหยางออกนอกเส้นทางเพราะสตรี หาได้ตั้งใจแวะมายังตำหนักเยว่ฉีแต่อย่างใดไม่
