ตอนที่ 1 โชคชะตา
เพชรไพลินมาหยุดยืนที่หน้าประตูเหล็กสีเงินในมือกำหนังสือนิตยสารเอาไว้แน่น...หญิงสาวมองผ่านรั้วเข้าไปด้านในบริเวณบ้านกว้างขวางราวๆ 10 ไร่ รั้วด้านข้างกำแพงปลูกต้นดอกแก้วเอาไว้ตลอดแนว ด้านหน้าบ้านทำเป็นถนนวงเวียนมีน้ำพุอยู่ตรงกลางและรอบๆน้ำพุปลูกดอกบัวหลวงสีต่างๆเอาไว้ ตัวบ้านเป็นตึกสองชั้นมีมุขยื่นออกมาด้านหน้าตัวบ้านทาสีขาวงาช้างทั้งหลัง
“โอ้โห...บ้านใหญ่ยังกับวังเลยนะเนี่ย”หญิงสาวนางหนึ่งทำเสียงอุทานอย่างตื่นเต้น เพชรไพลินสะดุ้งและหันไปมองทางด้านหลังของตนเอง ศศิภาอยู่ในชุดแซกรัดรูปสีแดงสั้นแค่หัวเข่าเดินมาหยุดข้างๆเธอก่อนจะหันมามองเพชรไพลินตั้งแต่หัวจรดเท้า
“นี่เธอมาที่นี่ทำไมเหรอ...อย่าบอกนะว่าจะมา...” ศศิภาหัวเราะอย่างนึกขำกับการแต่งตัวแบบเชยๆของอีกฝ่าย กระโปรงผ้าซีฟองสีครีมกับเสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนผมยาวมัดเอาไว้ด้านหลังเป็นหางม้าใบหน้าเนียนทาไว้ด้วยแป้งบางๆแต่ศศิภาก็ต้องยอมรับว่าผู้หญิงตรงหน้าสวยชวนมองไม่น้อยทั้งที่ไม่ได้แต่งแต้มอะไรเลย
“แล้วคุณล่ะคะมาทำไม” เพชรไพลินย้อนถาม อีกฝ่ายเชิดหน้าใส่แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรสาวใช้ในบ้านก็วิ่งออกมาดูเธอทั้งคู่และถามตามมารยาท
“พวกคุณมาทำอะไรกันคะ” เด็กสาวถาม
“มาตามประกาศที่รับสมัครไว้น่ะค่ะ ไม่ทราบว่าปิดรับสมัครหรือยังคะ” เพชรไพลินถามอย่างสุภาพ
“ไม่แน่ใจนะคะขอไปถามคุณสวรสก่อนนะคะ รอสักครู่ค่ะ”
“เดี๋ยวสิแล้วจะให้ฉันยืนรอกันข้างนอกนี่หรือไง” ศศิภาถามอย่างอารมณ์เสียเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว
“ค่ะ” เด็กสาวตอบและรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
สวรสเดินลงมาจากห้องทำงานของก้องภพด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะบอกกับอรชุมาสาวใช้ที่วิ่งเข้ามาอย่างหืดหอบให้ไปพาตัวหญิงสาวทั้งสองเข้ามา สวรสยืนมองหญิงสาวทั้งสองผ่านกล้องวงจรปิดพร้อมกับก้องภพในห้องของชายหนุ่ม เธอไม่เห็นด้วยที่ชายหนุ่มชอบใช้เงินซื้อผู้หญิงมาเหมือนกับซื้อสินค้าแบบนี้
“ไปพาพวกนั้นเข้ามา” เด็กสาวเกาหัวอย่างงงๆและวิ่งกลับออกไปอีกครั้ง
“เชิญด้านในค่ะ” เด็กสาวบอกและรีบมาเปิดประตูให้ ศศิภารีบเดินนำหน้าเพชรไพลินไปก่อน เด็กสาวหันมายิ้มให้กับเพชรไพลิน...หญิงสาวยิ้มตอบและเดินตามหลังสาวใช้ไปเงียบๆ
“เชิญนั่งสิ” สวรสนั่งลงและบอกให้ทั้งสองนั่งเช่นกัน
“ขอบคุณค่ะ” เพชรไพลินกล่าวขอบคุณและนั่งลง
“พวกคุณคงอ่านรายละเอียดในประกาศแล้วนะ ว่าจะต้องมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง”
“ค่ะ” หญิงสาวทั้งสองรับคำพร้อมกัน
“แต่ฉันคงต้องเลือกคนใดคนหนึ่งเท่านั้นและต้องขอดูประวัติด้วยพร้อมกับใบรับรองแพทย์ที่พวกคุณไปตรวจร่างกายมาว่าสมบูรณ์มากแค่ไหนและบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า” เมื่อสวรสพูดจบทั้งสองคนจึงยื่นสองเอกสารให้ดู สวรสหยิบซองของเพชรไพลินขึ้นมาตรวจดูก่อน
“ชื่อเพชรไพลินหรือชื่อแปลกดี จบสูงด้วยนี่แล้วทำไมต้องมาทำงานแบบนี้” สวรสเงยหน้ามองหญิงสาวที่นั่งตรงหน้าท่าทางดูเรียบร้อยแต่ไม่น่าจะมาทำงานแบบนี้ได้เลย
“ฉันเดือดร้อนเรื่องเงินน่ะค่ะและที่นี่ก็ให้เงินมากพอ”
“ทุกคนที่มาก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้นแหล่ะ เดือดร้อนเรื่องเงินยอมสละความสาวของตัวเองรู้ไหมว่ามีผู้หญิงมาที่นี่กี่คนแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ
“คุณไม่บอกแล้วใครจะรู้ล่ะคะ” ศศิภาพูดขึ้นบ้าง
“เกือบจะเป็นร้อยแล้วแต่ก็ไม่มีใครอยู่ได้นานเกิน 1 เดือนสักคน”
“เพราะอะไรคะ” ศศิภาถามขึ้นอย่างสนใจ
“เธอนี่อยากรู้อยากเห็นไปซะหมดเลยนะ” สวรสมองและยิ้ม
“แหมก็คนมันอยากรู้นี่คะ” ศศิภาตอบแทนเพชรไพลิน
สวรสวางซองเอกสารของเพชรไพลินลงและหยิบของอีกคนขึ้นมาดู
“ศศิภา จบ ม.6 แล้วมาทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านขายของ..” สวรสอ่านต่อไปแล้วก็อมยิ้มก่อนวางเอกสารลง หญิงสาวมองเธอย่างรอฟังคำตอบ
“ฉันจะเอาเอกสารไปให้คุณก้องภพดูก่อนแล้วจะลงมาบอกว่าใครจะได้ทำงานที่นี่” เธอบอกทั้งสองและเดินถือซองเอกสารทั้งหมดขึ้นไปบนห้องของชายหนุ่ม
“ก๊อก ก๊อก”
“เชิญ” แสงห้าวดังลอดออกมาจากในห้องที่ถูกปิดไว้อย่างมิดชิดเพื่อให้พ้นจากแสงแดดและสายตาของผู้คนภายนอก
“เอกสารของสองสาวนั่นค่ะ” สวรสยื่นมาวางไว้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา มีเพียงเธอและป้าวันเพ็ญเท่านั้นที่เข้ามาในห้องนี้ได้
ชายหนุ่มอ่านรายละเอียดแล้วก็วางลง
“รับไว้ทั้งคู่” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ
“ทำไมคะ” หญิงสูงวัยกว่าถามด้วยความแปลกใจเพราะทุกครั้งจะให้คัดเหลือไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ผมมีเหตุผลของผมคุณไปทำตามที่ผมสั่งเถอะ” ชายหนุ่มบอกและลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แย้มผ้าม่านหนาๆออกนิดนึง สวรสเดินออกมาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามเขามากเพราะรู้ดีว่าอารมณ์ของนายหนุ่มเป็นอย่างไร
ก้องภพมองไปที่สนามหญ้าหน้าบ้านซึ่งเป็นที่ๆเขาและครอบครัวนั่งเล่นกันตอนวันหยุดและเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมานี้เองเป็นวันหยุดตอนปีใหม่ทั้งพ่อแม่และภรรยาของเขาได้ไปเที่ยวกันที่เชียงใหม่และสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นภรรยาของเขาบอกว่าไม่สบายและต้องการพักผ่อนเขาจึงไม่อยากขัดใจให้เธอนอนพักที่รีสอร์ท ส่วนเขากับพ่อแม่ได้พากันไปเที่ยวที่บนดอยสุเทพ ชายหนุ่มเป็นห่วงภรรยาจึงขอตัวกลับลงมาก่อนและจ้างไกด์ให้ดูแลและพาพ่อกับแม่ของเขาเที่ยวต่อ แต่เมื่อมาถึงที่ห้องเขากลับต้องมาเจอกับภาพที่บาดใจเมื่อภรรยาของเขากำลังเริงรักอยู่กับชายชู้ที่เขาเองก็รู้จักดี อภิชาติเพื่อนสมัยเรียนของเขานั่นเอง เมื่อทั้งคู่หันมาเห็นชายหนุ่มก็ตกใจและตกตะลึงภรรยาของเขารีบคว้าผ้ามาคลุมร่างเปลือยเอาไว้ใบหน้าซีดเผือดจนแทบจะไม่มีสีเลือด
“นี่มันอะไรกันพวกแกกำลังทำอะไรกัน” เขากำมือแน่นและตรงเข้ามาหาทั้งคู่
“ฉันกับแพรรักกันมาก่อนและเรากำลังจะมีลูกกัน” อภิชาติลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเขาโดยมีผ้าขนหนูพันท่อนล่างเอาไว้
“มีลูกงั้นหรือ” เขาปลายตามามองทางภรรยาของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่” อภิชาติตอบแทน
“หมายความว่าตลอดเวลาคุณไม่เคยรักผมเลยหรือไง” น้ำเสียงของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมา
“ใช่ ที่ฉันแต่งกับคุณก็เพราะพ่อต้องการใช้เงินจำนวนมากเพื่อมาหนุนบริษัทของเราเท่านั้น คนที่ฉันรักคือชาติไม่ใช่คุณก้องภพ” หญิงสาวบอกทั้งน้ำตา
“โธ่โว้ย..” ก้องภพรัวกำปั้นไปที่กำแพงห้องอย่างเจ็บใจและแค้นใจปนกัน
“ไป ออกไปให้หมด ไปให้ไกลแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าพวกแกอีก” ชายหนุ่มตะโกนก่อนจะวิ่งออกมาจากห้องนั้นและตรงไปที่น้ำตกหลังรีสอร์ท เขาหยุดยืนมองสายน้ำที่ใสเย็นก่อนจะกระโจนลงไปเพื่อดับความแค้นที่มันร้อนระอุอยู่ภายในใจ เขานอนแช่อยู่ในน้ำเป็นนานจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นและเดินกลับไปที่บ้านพักของตนเอง...เขาเจอกับพ่อแม่ของเขาที่นั่งรออยู่หน้าบ้าน มารดาของเขาวิ่งเข้ามาหาเขาและกอดเอาไว้แน่นพร้อมกับพูดปลอบใจชายหนุ่ม
“แม่รู้เรื่องหมดแล้ว พ่อกับแม่มาทันตอนที่สองคนนั่นจะออกไปและอภิชาติก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง”
“ใช่พ่อขอโทษนะลูกพ่อไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้” บิดาของเขาเดินเข้ามาประคองด้านหลังของเขาเอาไว้
“ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นครับพ่อ แม่เป็นเพราะผมมันโง่เองที่ไปหลงรักผู้หญิงแบบนั้น ต่อไปนี้ผมจะไม่มีหัวใจให้ใครอีกและจะมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตผม” ชายหนุ่มมองไปด้านหน้าด้วยสายตาที่เคียดแค้นอย่างมาก จนมารดาของเขาเองก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ
วันรุ่งขึ้นเขาจึงพาบิดาและมารดากลับบ้านระหว่างทางลงเขายางรถเกิดระเบิดขึ้นรถจึงเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ข้างทางและความรู้สึกสุดท้ายก็ดับวูบลงไป เขามาฟื้นอีกครั้งก็ที่โรงพยาบาลเขารู้สึกแสบร้อนไปทั่วทั้งใบหน้าและเจ็บระบมไปทั่วร่างกาย
“ฟื้นแล้วหรือคะอย่าเพิ่งขยับนะคะเดี๋ยวแผลจะฉีกอีกใบหน้าของคุณโดนกระจกบาดจึงต้องพันหน้าเอาไว้ก่อนค่ะ” พยาบาลสาวบอกและกดเรียกหมอเจ้าของไข้ให้เข้ามาดูอาการของชายหนุ่ม
“เป็นยังไงบ้างครับคุณก้องภพ” หมอร้องทักขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงเตียง
“ที่นี่ที่ไหนครับแล้วคุณรู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ” ชายหนุ่มถามเสียงเบาเพราะรู้สึกเจ็บที่มุมปาก
“ที่นี่โรงพยาบาลประจำจังหวัดครับ ใครบ้างจะไม่รู้จักนายก้องภพเจ้าของธุรกิจส่งออกชื่อดังที่มีสาขาอยู่นับ 20 แห่งทั่วประเทศได้ล่ะครับ สาวๆที่นี่ต่างก็ดีใจกันใหญ่ที่คุณเขามารักษาตัวที่นี่” ชายหนุ่มบอกและตรวจร่างกายให้เขาจนเสร็จ
“หมอครับแล้วพ่อกับแม่ผมล่ะครับ” ชายหนุ่มถามเมื่อนึกขึ้นมาได้ สีหน้าของหมอและพยาบาลสลดวูบลง
“ทางเราขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คุณวันวิทูกับคุณศจีเสียชีวิตแล้วเพราะเสียเลือดมาก” คำบอกเล่าของหมอทำให้ชายหนุ่มช็อคและนิ่งเงียบไป
“คุณก้องภพครับ คุณก้องภพ” หมอหนุ่มเขย่าตัวเรียกเขาจนสติเขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาของเขาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ขอโทรศัพท์ให้ผมหน่อย” ชายหนุ่มบอก พยาบาลจึงหยิบโทรศัพท์ที่ต่อสายนอกเอาไว้มาส่งให้เขา ชายหนุ่มจึงกดโทรออกไปหาเลขาและเพื่อนรักของเขาที่เขาไว้ใจมากที่สุด
อีก6 ชั่วโมงต่อมาทั้งปกรณ์และสวรสก็เดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงเทพฯพร้อมกับศพของบิดาและมารดา หมอที่กรุงเทพบอกกับเขาว่าใบหน้าของเขาอาจจะรักษาไม่หายเพราะเป็นรอยแผลที่ใหญ่และกินบริเวณกว้างพูดง่ายๆก็คือใบหน้าของเขาจะต้องเสียโฉมไปตลอดชีวิต
“คุณก้องภพไม่ต้องกลัวนะครับเดี๋ยวผมจะลองติดต่อกับเพื่อนที่ต่างประเทศดูเครื่องมือที่นั่นมีครบและทันสมัยมากอาจจะช่วยศัลยกรรมใบหน้าของคุณให้กลับมาเหมือนเดิมได้” หมอบอกและทำให้เขามีความหวังขึ้นมาและเมื่อเดือนก่อนเขาก็เดินทางไปผ่าตัดรอบที่สองและเพิ่งเดินทางกลับมาเมื่อวานนี้เองแต่ก็ยังไม่มีใครเห็นใบหน้าของชายหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียวเพราะมีผ้าพันเอาไว้ทั้งหน้า ผู้หญิงทุกคนที่เขาจ้างมาเป็นคู่นอนเมื่อเจอกับเขาตัวต่อตัวก็เผ่นหนีกลับเป็นแถวๆเพราะยอมรับกับใบหน้าที่เหมือนผีของเขาไม่ได้ ทำให้เขาโกรธแค้นผู้หญิงมากขึ้น...ชายหนุ่มกำมือแน่นและกระชากผ้าม่านปิดเข้าหากันตามเดิมเขาไม่เคยลืมความเจ็บปวดในครั้งนั้นได้เลยเขาต้องสูญเสียทั้งบิดาและมารดา ดีที่เขายังตั้งสติไว้ได้ไม่งั้นป่านนี้แพรไหมและอภิชาติคงลงนรกไปนานแล้ว ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งแค้นรอยยิ้มแห่งความแค้นผุดขึ้นที่มุมปาก
“พวกเธอจะได้รับรู้ว่าความเจ็บปวดว่ามันเป็นยังไง” สายตาของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่รูปถ่ายของศศิภาและเพชรไพลิน
สวรสเดินลงมาด้านล่างพร้อมกับถอนหายใจแรงๆมองหญิงสาวทั้งสอง
“ขอแสดงความยินดีกับคุณทั้งสองคนด้วยที่ได้ทำงานที่นี่เดี๋ยวเราจะมาคุยกันในรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด” สวรสบอก
“รับทั้งสองคนเลยหรือคะ” เพชรไพลินถามอย่างสงสัย
“ใช่” สวรสบอกสั้นๆ
“แล้วรายละเอียดมีอะไรบ้างบอกมาเร็วๆสิคะ” ศศิภานึกรำคาญเพชรไพลินที่ถามอะไรไม่รู้เรื่องอยู่ได้
“คุณก้องภพประสบอุบัติเหตุเมื่อ 2 ปีก่อนจนใบหน้าเสียโฉม”
“ตายจริง...ก็ต้องน่าเกลียดน่ะสิ” ศศิภายกมือกุมหน้าอกและร้องอย่างตกใจ
“ใช่...จะเปลี่ยนใจก็ได้นะเราไม่ว่า” สวรสบอก
“เรื่องอะไรเงินเดือนตั้ง 20,000 บาทใครไม่เอาก็โง่แล้ว” หญิงสาวบอกและยกเท้าขึ้นมานั่งไขว่ห้าง
“น่าสงสารนะคะ” เพชรไพลินพูดออกมาเบาๆ
“ค่ะ เธอน่าสงสารแต่อย่าไปพูดแบบนี้ให้เขาได้ยินนะคะไม่งั้นดิฉันไม่รับรองความปลอดภัยของพวกคุณ”
“เขาโหดมากเลยหรือคะ” เพชรไพลินถามต่อ
“ไม่หรอกค่ะสำหรับดิฉันนะคะแต่กับพวกคุณไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจะคิดแบบไหน” สวรสยิ้ม
“แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” ศศิภาถามขึ้นอย่างอยากรู้
“เวลาที่จะนอนกับพวกคุณ...คุณก้องภพจะดับไฟที่ห้องของคนนั้นเพื่อป้องกันพวกคุณเห็นใบหน้า” เพชรไพลินก้มลงมองมือตัวเองอย่างอดสูใจเธอไม่คิดเหมือนกันว่าจะต้องมาทำงานแบบนี้เธอต้องลาออกมาจากงานรับจ้างสอนเด็กที่โรงเรียนอนุบาลเพราะเงินเดือนไม่พอใช้จ่ายในบ้าน แม่ของเธอรับจ้างทำขนมส่งตามร้านค้าได้ไม่กี่บาท ส่วนน้องสาวของเธอก็ไม่ยอมทำงานส่วนพ่อของเธอก็มาป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวต้องถ่ายเลือดทุกเดือนครั้งละ 5,000 บาทรำพังเงินเดือนแค่ 8,000 บาทของเธอหักค่าใช้จ่ายต่างๆก็แทบไม่เหลือแล้ว หญิงสาวพบนิตยสารฉบับนี้ที่ป้ายรถเมล์คงมีใครเอามาอ่านแล้วลืมทิ้งเอาไว้เธอจึงหยิบขึ้นมาพลิกดูและเห็นข้อความที่ลงประกาศเอาไว้เธอจึงตัดสินใจมาที่นี่ เพื่อครอบครัวของเธอๆยอมสละความสุขของตนเองเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวและเพื่อพ่อผู้ให้กำเนิดต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตเธอก็จะทำ
“คุณเพชรไพลินเข้าใจหรือเปล่าคะ คุณเพชรไพลิน” สวรสเรียกหญิงสาวและทำให้อีกฝ่ายออกมาจากภวังค์
“ค่ะ...ได้ค่ะ” หญิงสาวหันไปมองศศิภาและตอบรับออกไปทั้งที่ไม่ได้ฟังสวรสพูดเลย
“ข้อสุดท้ายพวกคุณจะต้องย้ายมาอยู่ที่นี่จะกลับไปเยี่ยมบ้านได้เดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น”
“ 1 ครั้งเองหรือคะ” เพชรไพลินอุทานอย่างตกใจ...แล้วใครจะคอยดูแลพ่อของเธอล่ะ...หญิงสาวคิดในใจ
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” สวรสถาม
“เรื่องมากจริงเลยนะแม่คนนี้” ศศิภามองอีกฝ่ายอย่างค้อนๆ
“ไม่ค่ะ ไม่มีค่ะ” หญิงสาวรีบบอกปัดทันที
“ดี งั้นวันนี้พวกคุณไปขนของมาที่นี่ได้เลย” สวรสบอก
“ค่ะ” ทั้งสองสาวรับคำพร้อมกันและแยกย้ายกับกลับบ้านของตนเอง