7
ขวัญข้าวออกจากบ้านไปตลาดเพื่อซื้อของสดและแห้งในตอนสาย แต่วันนี้เธอไปคนเดียว ไร้บอดี้การ์ดข้างกายเหมือนเช่นทุกครั้ง เนื่องจากจ้อยท้องเสีย ถ่ายหนักทั้งคืนจนร่างกายอ่อนเพลีย ขวัญข้าวจึงให้นอนพักอยู่ที่บ้าน จ้อยจะไม่ยอมในคราแรก แต่ก็ฝืนสังขารตัวเองไม่ไหว นอนหลับไปตั้งแต่ขวัญข้าวอาบน้ำ
รถสองแถวนำพาขวัญข้าวมาถึงตลาดในเวลาต่อมา เธอก้าวลงมาจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในตลาดสด ระหว่างที่เลือกเดินซื้ออาหารสดและแห้งอยู่นั้น เบิ้มกับมะแซลูกน้องวินัยได้สะกดรอยตามตั้งแต่เธอออกจากบ้าน ทั้งสองตามสาวสวยที่ลูกพี่หมายปองอยู่ห่างๆ รอจังหวะและโอกาสเหมาะทำตามแผน
ขวัญข้าวใช้เวลาเลือกซื้ออาหารสดและแห้งราวสี่สิบนาที เธอจึงเดินออกจากตลาดโดยใช้เส้นทางหลังตลาด สาเหตุที่เธอใช้เส้นทางนี้เป็นเพราะ ต้องไปซื้อของให้บัวรินอีกร้านหนึ่งที่อยู่ซอยติดกับหลังตลาด ทางด้านหลังตลาดนี้ไม่ค่อยมีคนสัญจรมากนัก มีเพียงรถยนต์ของพ่อค้าแม่ค้าจอดกันเรียงราย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนเดินผ่านไปมาขวัญข้าวก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดกับตัวเอง เนื่องจากเดินมาทางนี้จนแทบนับครั้งไม่ถ้วน
“อื้อ” ขวัญข้าวตกใจจนถุงหลายใบหล่นลงพื้น ดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของชายคนหนึ่งที่มาประกบด้านหลัง และนำผ้าเช็ดหน้าชุ่มน้ำมาปิดทับกึ่งปากกึ่งจมูก ขวัญข้าวดิ้นรนได้ไม่กี่อึดใจ เธอรู้สึกสมองไม่ทำงาน ร่างกายอ่อนแรงและหมดสติในที่สุด
“ไอ้มะแซเร็วๆ สิโว้ย เดี๋ยวมีคนมาเห็น” เบิ้มเร่งเพื่อนที่ช้อนอุ้มร่างสลบไศลของขวัญข้าว
“เออ กูก็เร็วอยู่นี่แหละ มึงไปเปิดประตูสิวะ ยืนพูดมากอยู่ได้” มะแซสวนกลับ ก่อนจะสั่งเพื่อนที่รีบไปทำตามอย่างรวดเร็ว
“อ้าวไอ้มะแซ ทำไรวะ” เสียงทักทายของอำนวยทำให้มะแซถึงกับตกใจ “นั่นขวัญนี่ ขวัญเป็นอะไรวะ”
อำนวยรู้จักขวัญข้าวดี เพราะเธอเป็นลูกค้าประจำเขียงหมูของมารดา
“ขวัญเป็นลมน่ะ กูกำลังพาขวัญไปหาหมอ กูไปก่อนนะ” มะแซแก้ตัว รีบเดินไปยังรถยนต์ของวินัยทันที
“เฮ้ย เดี๋ยวสิวะ แล้วมึงไม่เอาของของขวัญที่ตกบนพื้นไปด้วยเหรอ” อำนวยทัก
“เออกูลืม” มะแซหันมาพูดกับอำนวย แล้วหันไปสั่งเบิ้ม “ไอ้เบิ้ม มึงไปเอาของที่ตกบนพื้นทีสิวะ”
เบิ้มวิ่งมาทำตามคำสั่งของมะแซ หากไม่ทำตามมีหวังแผนแตกแน่นอน
อำนวยไม่ได้คิดอะไร คิดว่าขวัญข้าวเป็นลมตามที่มะแซบอก และไม่คิดด้วยว่า ทั้งคู่จะทำมิดีมิร้ายกับขวัญข้าว เนื่องจากคนในพื้นที่นี้ต่างรู้กันว่า ขวัญข้าวเป็นลูกสาวของปัญญา ลูกน้องคนสนิทของวิเศษ เจ้านายเบิ้มกับมะแซ ทั้งคู่คงไม่กล้าทำอะไรขวัญข้าว เขาจึงเดินเข้าไปตลาด ไม่สนใจเรื่องที่ไม่ใช่ของตน
“เกือบไปแล้วมึง กูว่ารีบไปเถอะ ก่อนที่จะมีคนมาเห็น”
“ก็จะอยู่ให้พ่อมึงมาจับเหรอ ขึ้นรถเร็ว”
เบิ้มเร่งมะแซ ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่ ติดเครื่องยนต์แล้วนำรถออกจากจุดที่จอด มุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางที่นัดหมายไว้กับวินัย
หลังจากเสร็จสิ้นงานสำคัญเมื่อวานนี้ วินัยกับ เบิ้มและมะแซมานั่งคิดแผนฉุดขวัญข้าว จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า จะลักพาตัวเธอไปยังบ้านท้ายเหมืองอยู่ห่างจากตัวเมืองห้าสิบกิโลเมตร บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักหลังเก่าของวิเศษ ไม่มีใครไปวุ่นวาย เหมาะแก่การทำตามแผนที่สุด
เมื่อสรุปลงตัว วันนี้เบิ้มกับมะแซมาซุ่มหน้าบ้านขวัญข้าวแต่เช้า เพื่อรอโอกาสลงมือ เป็นความโชคดีของเบิ้มกับมะแซ ที่วันนี้ขวัญข้าวมาจับจ่ายซื้อของในตลาดโดยไร้เงาจ้อย ทุกอย่างจึงเป็นไปตามคนชั่วคิดไว้
เบิ้มเลี้ยวรถเข้ามาในเหมืองเก่า ที่เวลานี้กลายเป็นเหมืองร้าง เนื่องจากวิเศษย้ายเหมืองไปทำอีกที่หนึ่งที่ใหญ่กว่า ถนนสายนี้จึงไม่มีคนสัญจรผ่านไปมา จะมีก็แต่วินัยกับพวกที่มักมาสุมหัวเสพยาเสพติดและเล่นการพนัน ระหว่างเบิ้มขับรถ เขาได้สังเกตเห็นรถยนต์คันหนึ่งขับตามมา ด้วยความสงสัยและไม่ไว้ใจ เบิ้มจึงเอ่ยปากคุยกับเพื่อน
“เฮ้ย…ไอ้มะแซ กูว่ามีรถตามเรามานะ” มะแซหันไปมองด้านหลัง ซึ่งเขาก็เห็นว่ามีรถยนต์ขับตามมาจริงๆ
“เออใช่…รถใครวะ ไม่คุ้นเลย แล้วมันมาขับห่าเหวอะไรแถวนี้วะ” มะแซเกิดความสงสัยเช่นกัน “หรือว่ามันจะหลงทาง”
“จะหลงทางหรือไม่หลงทาง กูก็ว่ามันไม่น่าไว้ใจนะ เรายิ่งทำเรื่องชั่วยาวเหยียดเป็นหางว่าวอยู่ด้วย” คนขี้ระแวง ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น “แล้วจะเอาไงดีวะ เราไม่รู้ซะด้วยว่ามันเป็นใคร”
ก่อนที่มะแซหรือเบิ้มจะหาทางแก้ไขปัญหา รถคันหลังได้เร่งเครื่องแซงรถยนต์ของเบิ้ม ก่อนจะปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด ส่งผลให้เบิ้มกับมะแซร้องดังลั่นรถ เบิ้มหักรถหลบจนตกไปริมทาง
“เฮ้ย!...อะไรของมันวะ แม่งท่าทางอยากจะตายเร็ว”
เบิ้มตะโกนอย่างหัวเสีย เปิดประตูรถ หวังจะเอาเรื่องรถคันหน้า แต่พอเห็นจำนวนคนของรถคันหน้าที่ก้าวลงมาจากรถ เบิ้มก็แทบจะวิ่งกลับเข้าไปในรถแทบไม่ทัน
“หยุดนะมึง ถ้ามึงก้าวอีกก้าวเดียว กูยิงไส้แตกแน่”
อดิศรเล็งปืนไปยังเบิ้ม น้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แววตาน่ากลัว เบิ้มหยุดก้าวเท้าทันที มองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างหวาดกลัว
“พวกมึงจะปล้นกูเหรอ มึงไม่รู้เหรอว่ากูเป็นใคร” เบิ้มทำใจดีสู้เสือ หันไปมองมะแซที่ขยับมือหยิบปืนตรงคอนโทรลรถ แต่ช้ากว่าชัยยุทธที่เปิดประตูมากระชากร่างมะแซลงมาจากรถ
“กูไม่ได้มาปล้นฆ่ามึงสองตัว กูแค่มาเอาตัวผู้หญิงที่มึงลักพาตัวมาก็เท่านั้น” อดิศรบอกเบิ้ม พยักหน้าให้ลูกน้องอีกสองคนไปนำตัวขวัญข้าวออกมาจากรถ “ส่วนมึงสองตัว ถ้าไม่อยากตายห่าคาป่า มึงก็อย่าขัดขืน”
“ถ้ามึงรู้ว่า มึงเอาตัวว่าที่เมียใครไปล่ะก็ มึงหนาวแน่แล้วมึงก็ไม่คิดอยากจะทำ” เบิ้มขู่กลับ ทว่าอดิศรกลับยิ้มแทนที่จะหวาดกลัว