1
“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วบ้านหลังใหญ่ หลังสิ้นเสียงนั้น เสียงฝีเท้าของชายรูปร่างสูงใหญ่ก็ดังขึ้นตาม เขาวิ่งมายังห้องต้นเสียงด้วยเวลาอันรวดเร็ว พอมาถึงหน้าห้องกัลป์รีบเปิดประตูห้องนอนของน้องสาวทันทีโดยไม่คิดเคาะประตู
“กล้วยไม้ไม่เป็นอะไรแล้วนะ พี่อยู่นี่ อย่าร้องนะคนดี”
กัลป์กอดปลอบน้องสาวอันเป็นที่รัก ที่ยังคงส่งเสียงกรีดร้อง สีหน้าแสดงถึงความหวาดกลัว ตื่นตระหนก น้ำตาไหลอาบแก้ม
“กรี๊ด...ไม่นะ อย่าเข้ามา อย่ามากอดฉัน ออกไป กรี๊ด!” พรรณพฤกษาผลักไสพี่ชาย ดวงตาหวานปนเศร้าตื่นตระหนกคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง เป็นความกลัวฝังรากลึกในจิตใจ แล้วไม่รู้ว่าชาตินี้จะสลายความทุกข์โศกนี้ได้หรือไม่ “ปล่อยนะปล่อย อย่าทำฉัน อย่า...ไป...ออกไป...ฮือ”
มือเล็กพยายามดันร่างของพี่ชายให้ออกห่าง น้ำตาแห่งความกลัวไหลพราก ฟันแหลมคมขบกัดบ่าของกัลป์เต็มแรง หวังจะให้ลำแขนใหญ่คลายออก แต่ทว่าพี่ชายที่แสนดีข่มความเจ็บปวดไว้เต็มกำลัง หาได้ปล่อยร่างของคนตกอยู่ในอาการหวาดกลัว เขายังคงกอดแนบแน่นแม้ว่าฟันของพรรณพฤกษาจะขบกัดแรงขึ้นและแรงขึ้น
“กล้วยไม้ พี่เอง พี่กัลป์ไงครับ ไม่มีใครทำอะไรกล้วยไม้ของพี่แล้วนะ พี่จะปกป้องกล้วยไม้เอง”
ความเจ็บปวดที่กัลป์ได้รับ น้อยกว่าความเจ็บปวดทางกายและใจของพรรณพฤกษา โลกอันแสนสวยงาม อนาคตที่ดีของเธอถูกลบเลือนจากคนชั่วกลุ่มหนึ่งที่กระทำย่ำยีพรรณพฤกษาอย่าง ไร้ความปรานี พวกมันความโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน
เขายังจำวันนั้นได้ไม่เคยลืม แม้เวลาจะผ่านมาสองปี พรรณพฤกษาถูกลักพาตัวไปร่วมสองสัปดาห์ กัลป์ทำทุกทางเพื่อที่จะตามตัวน้องสาวกลับคืนมา จนกระทั่งวันหนึ่งวันที่เขารอคอยก็มาถึง เมื่อมีคนปริศนาส่งข้อมูลสถานที่ที่พรรณพฤกษาถูกจับไปขังไว้ กัลป์กับครอบครัวเดินทางไปที่นั่นทันที และภาพที่เห็น ทำให้ครอบครัวอันแสนสุขของเขาพังทลาย กลายเป็นความข่มขื่น ปวดร้าวและทรมาน
บ้านไม้ชั้นเดียวกลางสวนยางแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพรคือ สถานที่ที่พรรณพฤกษาอยู่ ทันทีที่เห็นสภาพของเธอ วชิราภรณ์ผู้เป็นแม่เป็นลมล้มพับอยู่ในอ้อมกอดของธัญญ์ สามีสุดที่รัก ธัญญ์ผู้เป็นพ่อกัดฟันกรอด อารมณ์โกรธแค้นสุมอก หัวใจของธัญญ์เหมือนมีใครควักออกมาแล้วกระทืบซ้ำๆ จนไม่มีชิ้นดี
กัลป์รีบถลาไปหาน้องสาวที่นั่งกอดเข่าร้องไห้ ดวงตาเบิกกว้างและตื่นตกใจแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดแสน เธอกวาดไปมารอบๆ บ้านราวกับว่ารอบข้างมีแต่สิ่งน่ากลัว และเมื่อกัลป์กอดน้องสาว เสียงกรีดร้องก็ดังลั่น มือเล็กผลักไสร่างของกัลป์ ร้องขอให้ปล่อยเธอ พรรณพฤกษาจำใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเอง
“ไม่นะ อย่า อย่า ปล่อยฉัน ปล่อย ปล่อย กรี๊ด!” คนถูกกระทำกรีดร้องต่อเนื่อง
”กล้วยไม้ พี่เอง พี่กัลป์ไง พี่กัลป์พี่ชายของกล้วยไม้ไงครับ”
กัลป์เรียกสติน้องสาวที่ไม่รู้ว่า จะกู่กลับมาได้หรือไม่ เพราะมันนานกว่าหกเดือนแล้วที่เธอเป็นเช่นนี้ และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย
“กัลป์ กัลป์ไหน ไม่มี ฉันไม่มีพี่ชาย กรี๊ด ปล่อย ปล่อย อย่าทำฉัน ฮือๆๆ”
ความหวาดกลัว ความทุกข์ทรมานและสิ่งที่พรรณพฤกษาต้องเผชิญมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ในบ้านกระชากสติสัมปชัญญะของเธอให้ขาดกระจุยไม่หลงเหลือชิ้นดี เธอจำใครไม่ได้เลยแม้แต่ครอบครัวที่ให้ความอบอุ่น ความรักกับเธอมาตั้งแต่เกิด หรือตัวเธอเอง สิ่งที่สาวแสนดีจำได้มีเพียงเรื่องเดียว เป็นความทรงจำอันแสนเลวร้ายมากที่สุดในชีวิต
“อย่ากลัวนะคนดี เรื่องมันผ่านไปแล้ว พี่สัญญาว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายกล้วยไม้ของพี่ได้อีก และพี่ก็สัญญาว่าจะจับไอ้คนชั่วที่มันทำกับกล้วยไม้มาลงโทษให้ได้”
คนอย่างกัลป์ แม็คควีน ตัณติยานนท์ ไม่ปล่อยให้ชายชั่วกลุ่มนั้นลอยนวลเด็ดขาด ใครที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจ มันจะต้องได้รับโทษอย่างสาสมจากเขา
และต้องมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า…
จังหวัดชุมพร
“ขวัญทำกับข้าวเสร็จหรือยังลูก พ่อกับพี่ช้างมาถึงแล้วนะ” บัวรินเดินเข้ามาถามบุตรสาวที่กำลังสาละวนอยู่กับการทำอาหารในครัว คนถูกถามเงยหน้ามองมารดาแล้วยิ้ม
“เสร็จพอดีจ้ะแม่ แม่ออกไปคอยที่โต๊ะเลยนะ เดี๋ยวขวัญยกสำรับไปเอง”
“ให้แม่ช่วยดีกว่านะ พ่อกับพี่ช้างอารมณ์ไม่ดี ขืนขวัญยกไปช้ามีหวังโดนดุแน่ๆ”
บัวรินรู้นิสัยสองพ่อลูกดีว่าเป็นอย่างไร ชอบกดขี่ พูดจาไม่ดีขวัญข้าวมากแค่ไหน ดุได้เป็นดุ ตวาดได้เป็นตวาด บางครั้งไม่มีเหตุผลของการกระทำนั้นด้วย บ่อยครั้งที่ขวัญข้าวตกเป็นเบี้ยอารมณ์ของบิดาและพี่ชาย ซึ่งนางเองก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือมากไม่ได้ หากทำนางก็ต้องถูกหางเลขไปด้วย
สองแม่ลูกช่วยกันยกสำรับไปวางบนโต๊ะอาหารกลางบ้าน ที่มีร่างของคนโมโหหิวนั่งหน้าหงิกรอทานอาหาร พอเห็นหน้าขวัญข้าว ปัญญาเปิดฉากต่อว่าทันที
“รู้อยู่ว่ากูจะกลับบ้านเวลานี้ ทำไมถึงทำกับข้าวช้า มึงจะกวนตีนกูใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะพ่อ ขวัญก็ทำตามเวลาปกติ วันนี้พ่อกับพี่ช้างกลับมาเร็วกว่าทุกวัน ก็เลยมองว่าขวัญทำกับข้าวช้า” ขวัญข้าวไม่ได้มีเจตนาโต้เถียงบิดา เธอเพียงแค่อธิบายให้ปัญญาเข้าใจ ทว่าคนอารมณ์ไม่ดีไม่ได้คิดเช่นนั้น
“อ้อ…มึงหาว่ากูผิดที่กลับบ้านเร็วใช่ไหม มึงนี่วอนขึ้นทุกวัน” ปัญญาหยิบช้อน ตั้งท่าจะปาใส่ลูกสาว แต่เสียงของบัวรินดังห้ามเสียก่อน
“พี่หิวข้าวไม่ใช่เหรอ รีบกินดีกว่านะ วันนี้ขวัญทำต้มยำโป๊ะแตกของโปรดพี่ด้วย กำลังร้อนๆ เลย รีบกินดีกว่านะ”
บัวรินรีบตักข้าวสวยใส่จานให้สามี ก่อนจะหันไปตักให้บุตรชายที่วันนี้ไม่ผสมโรงต่อว่าน้องสาวเหมือนเคย จากนั้นจึงหันมาตักให้ตนเองและขวัญข้าว
“พรุ่งนี้กูกับไอ้ช้างต้องไปทำงานให้นายที่ยะลา จัดกระเป๋าให้ด้วย” ปัญญาสั่งบัวริน
“ไปกี่วันพี่”
“ยังไม่รู้เลยว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่ จัดไปหลายๆ ชุดก็แล้วกัน” งานที่ได้รับมอบหมายมาเป็นงานใหญ่ กำหนดวันกลับจึงไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่างานจะเสร็จวันไหน
“ขวัญ พรุ่งนี้ไปร้านเฮียกวงให้พี่ด้วยนะ พี่สั่งกระสุนปืนไว้ พี่ไม่ว่างไปเอาเอง เอ็งช่วยไปเอาให้หน่อย ไปเอาเสร็จก็เอาไปไว้ที่ห้องพี่ล่ะกัน” คชาไว้วานน้องสาว
“จ้ะพี่ช้าง” เธอรับคำอย่างว่าง่าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปเอาสิ่งของให้พี่ชาย เธอไปเอาให้นับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งไปเอาอาวุธปืนเถื่อนก็ยังเคย การสนทนาของพวกเขายุติลง ทั้งหมดนั่งทานอาหารกันอย่างเงียบๆ เช่นเคย พอท้องอิ่ม ปัญญากับคชาก็เดินออกไปจากบ้านเพื่อไปทำงานรอบดึก ส่วนสองแม่ก็ช่วยกันทำความสะอาดจาน