อีริคxขิม (6)
หลายวันต่อมา
@คฤหาสน์ สหรัฐ
ณ สวนหลังบ้านชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาและเนียนใสราวกับไอดอลเกาหลี สองเท้าหนักเดินย่องมือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็กมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวร่างเล็ก ที่เอาแต่นั่งเหม่อมองไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาอันกว้างใหญ่ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าหล่อ แล้วทำเสียงใหญ่กล่าวออกไปเพื่อกลั่นแกล้ง
“อนุญาตครับคุณหนู”
“…” ทว่าหญิงสาวยังคงเงียบคล้ายกับว่าไม่ได้ยิน ทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ ชายหนุ่มจึงโน้มตัวกระซิบข้างใบหูแทน
“คุณหนูมองอะไรอยู่เหรอครับ?”
พรึ่บ!
ขิมสะดุ้งตัวพร้อมกับหันขวับมองตามเสียงด้วยความตกใจ ทำเอาดวงตากลมโตเบิกโพลง เมื่อใบหน้าของเธอใกล้กับเจ้าของใบหน้าหล่อที่คุ้นตาเพียงไม่ถึงคืบนิ้วอึ้งงันอยู่อย่างนั้นกระทั่ง…
“พี่กลับมาแล้วนะเด็กดื้อ”
“พี่มาร์ค!” ทันที่สมองประมวลผลสำเร็จ ริมฝีปากบางขยับขานเรียกชายหนุ่มเสียงดังพร้อมกับโผเข้าสวมกอด เรียวแขนเล็กตวัดรัดลำคอแกร่งกร้านแน่น ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน จนความทุกข์ภายในใจกระเจิงหายไปในพริบตาเดียว เพียงเพราะชายหนุ่มหล่อผิวขาว
“อึก!ฮื้อ!!”
เสียงร้องไห้ดังขึ้นฮือและหยาดน้ำตาที่หยดแหมะลงบนเสื้อจนเปียกชุ่ม ทำให้มาร์ครู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่แน่ใจถึงสาเหตุที่น้องสาวของเพื่อนรักซึ่งสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ร้องไห้โฮออกมาแบบนี้ ฝ่ามือหนาคอยลูบหลังปลอบประโลม
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะคะ โตแล้วยังร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ไปได้น้องพี่”
“อึก!” ขิมปลดปล่อยความรู้สึกผ่านหยาดน้ำตาที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล อ้อมกอดเพื่อนพี่ชายที่เธอนับถือเป็นพี่ชายอีกคนสามารถช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำได้ดีทีเดียว เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจทุกครั้งที่มีเพื่อนพี่ชายคอยอยู่ข้าง ๆ ปลอบใจ
“...”
“ดีใจที่มีกลับมาขนาดนั้นเลยเหรอคะ ร้องไห้ไม่หยุดเลย” มาร์คแสร้งถามลองเชิงคนน้องที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดตลอดหลายนาทีที่ผ่านมา
ขิมสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ รวบรวมสติแล้วผละกอดออกจากมาร์ค เธอก้มหน้าสะอึกสะอื้นจนไหล่สั่น ดวงตากลมโตบวมเป่งเพราะร้องไห้เป็นเวลานาน
“ไม่สบายใจอะไรบอกพี่ได้นะ” มือหนากอบกุมใบหน้าเรียวแล้วประคองให้เงยขึ้นมาสบตา “ต่อไปนี้พี่คนนี้จะอยู่ข้าง ๆน้อง ไม่ไปไหนอีกแล้วนะคะ” นิ้วแกร่งเกลี่ยหยาดน้ำสีใสออกจากพวกแก้มนวลให้อย่างอ่อนโยน
ขิมยู่ริมฝีปากขึ้นอย่างน่ารัก ใบหน้าจิ้มลิ้มเปื้อนน้ำตาประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตากลมโตที่ฉ่ำนองน้ำสีใสฉายถึงความซาบซึ้งและขอบคุณผ่านแววตา
“มาไม่บอกกันเลยนะ” น้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกเปล่งออกไปอย่างงอน ๆ
“เซอร์ไพรส์ไงคะ”
“พี่คินรู้หรือเปล่า?”
“รู้ค่ะ ว่าแต่เราเถอะทำไมจู่ ๆ ถึงร้องไห้ได้ล่ะ ปกติไม่ใช่คนเจ้าน้ำตาหนิหืม?” มือหนาลูบผมยาวน้องสาวของเพื่อนรักที่สนิทเบา ๆ
ขิมหลุบตามองต่ำครู่หนึ่งแล้วแค่นยิ้มส่งให้เพื่อนพี่ชายก่อนจะเอ่ยตอบออกไป “ก็ขิมคิดถึงพี่หนิ ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขิมไม่ได้เจอพี่เลย”
“พี่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้อยู่ดูแลขิมตลอดเวลาหนุ่งปีที่ผ่านมา”
“ขิมไม่รับคำขอโทษค่ะ เพราะพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย คนเราต่างก็มีหน้าที่ ที่ต้องทำเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ”ขิมยิ้มปริ่มทั้งน้ำตาโดยที่นิ้วแกร่งของเพื่อนพี่ชายยังคอยเกลี่ยปลอบโยนอยู่เสมอ
“...”
ตกเย็น
โรงแรม
“ว้าวว~มาถึงก็เปย์น้องเลยนะคะ” ขิมแหงนคอมองโรงแรมหน้าดาวที่มีความสูงมากกว่าห้าสิบชั้นแววตาเป็นประกายทันทีที่ก้าวขาลงจากรถสปอร์ตสุดหรูสีฟ้า เธอปล่อยผมลอนยาวอย่างมีน้ำหนักแผ่กระจายเต็มกลางแผ่นหลัง แต่งกายด้วยเสื้อคอเต่าสีม่วงเพื่อปกปิดร่องรอยแดงช้ำที่มาเฟียหนุ่มฝากไว้ซึ่งยังไม่หายสนิท ท่อนล่างสวมใส่กระโปรงทรงเอสีขาวดำลายสก็อตสั้นถึงต้นขาอ่อน
มาร์คซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อเลยข้อมือโชว์นาฬิกาเรือนหรูสีดำ ยัดชายเสื้อเข้าใส่ใต้กางเกงสแล็กสีดำส่งยิ้มหล่อให้น้องสาวของเพื่อนรักที่สนิทแล้วกล่าวชวน “เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”
ขิมพยักหน้ารับแล้วควงแขนเพื่อนพี่ชาย สาวเท้าเดินบนรองเท้าส้นสูงห้านิ้วรัดข้อเท้าสีดำเข้าประตูทางเข้าของโรงแรมกระทั่งถึงห้องอาหารเฌอสุดหรูหรา ท่ามกลางเสียงเพลงคลาสสิกและวิวสวย ๆ ในยามค่ำคืน สามารถมองเห็นเมืองหลวงผ่านกระจกบานใหญ่รอบตัวห้องอาหารอย่างทะลุปรุโปร่ง
#อีกด้าน
เวลาต่อมาหลังจากลูกค้ารายใหญ่กลับออกไป อีริคนั่งหน้าเคร่งขรึมอยู่ในโซนวีไอพี ณ ห้องอาหารเฌอ ได้ราว ๆ ชั่วโมง ท่ามกลางความเงียบสงัดและอายเย็นจากเครื่องปรับอากาศชวนให้รู้สึกขนลุก ดวงตาคมกริบเอาแต่จ้องโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งด้านนอก ซึ่งคนภายนอกไม่สามารถเห็นโซนวีไอพีได้ แววตาดุดันมองชายหญิงคู่หนึ่งนั่งดินเนอร์กันสองต่อสอง ต่างฝ่ายต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กันแลดูมีความสุขจนน่าหงุดหงิด
“ปากหนักจริง ๆ เลยเจ้านายกู” เซนนั่งบนเก้าอี้อยู่มุมห้องด้านหลังเจ้านายบ่นอุบอิบให้ได้ยินเพียงคนเดียวพลางส่ายหัวเล็กน้อย เขารู้ตอนนี้เจ้านายกำลังข่มกั้นอารมณ์ฉุนเฉียวเอาไว้ในใจ ซึ่งไม่รู้ว่าจะปะทุออกมาเมื่อไหร่ รวมถึงหลาย ๆ วันที่ผ่านมาดูจะหงุดหงิดไปซะทุกเรื่องอย่างไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก จนบางครั้งเขาแทบตามอารมณ์ไม่ทัน
“ตามไปไหมครับนาย?” กล่าวถามออกไปครั้นเห็นว่าหญิงสาวและชายหนุ่มเดินออกจากห้องอาหาร แต่ผู้เป็นนายเอาแต่นั่งนิ่งมองตามหลังทั้งคู่ไป
“ทำไมกูต้องตามไป?”
เซนหลุบตามองต่ำทันควันเมื่อผู้เป็นนายตวัดสายตามองมาอย่างคาดโทษ เขารวบรวมความกล้าเอ่ยตอบออกไป “ผมก็คิดว่านายนั่งรอคุณขิมซะอีก”
อีริคเงียบไม่ต่อบทสนทนาเบนสายตาออกจากลูกน้องคนสนิทพลางถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น อีกทั้งภายในอกยังร้อนรุ่มดั่งไฟโลกันและไม่มีท่าทีว่าจะเย็นลงเสียที จากนั้นจึงผุดตัวลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเดินออกจากห้องอาหารไป
เซนทำได้เพียงเดินตามคุ้มกันผู้เป็นนายตามหน้าที่อย่างไม่สามารถพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้ เรื่องหัวใจคงต้องให้คนสองคนจัดการกันเอง
ผับ Two
ปึก!
อีริควางกระแทกแก้วเปล่าลงบนโต๊ะกระจกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็นับไม่ถ้วน ตั้งแต่เดินทางมาถึงผับดังแห่งนี้ ก็เอาแต่กระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงท้องอึกใหญ่อย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยมีหญิงสาวสวยนมโตคอยปรนนิบัติข้างกาย ราวกับกำลังดื่มให้เมามายเพื่อลบลืมบางสิ่งบางอย่างภายในใจ
“เปรี้ยวว่าอย่ามัวแต่ดื่มเลยค่ะ เรามาสนุกกันดีกว่านะคะ” คลี่ยิ้มส่งสายตายั่วยวนให้กับเจ้าของใบหน้าหล่อพลางล้วงมือเข้าเสื้อเชิ้ตแล้วลูบไล้แผงอกแกร่งอย่างช้า ๆ
“ออกไปให้พ้น”
“แต่ว่าเปรี้ยว...”
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง?!”
หญิงสาวนมโตใบหน้าถอดสีเมื่อสบปะทะเข้ากับแววตาดุร้ายน่ากลัวของมาเฟียหนุ่มที่จ้องมองมาตาเขม็ง ทำให้เธอไม่กล้าขัดใจรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
อีริคพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ ใบหน้าเครียดขึง ภายในใจยังคงกระวนกระวายใจไม่หยุดกับภาพที่เห็นครั้นอยู่ในห้องอาหารโรงแรมดังแห่งหนึ่ง