บทที่2.ปะทะ!........
น้ำเสียงยียวนตอบ เขาแสยะยิ้มสำทับอีกด้วย
ทิชากรฉุนกึก เธอเป็นลมหมดสติจะให้ดิ้นขัดขืนเขาได้อย่างไรล่ะ อีตานี่ถ้าจะมีปัญหากับระบบสมองถึงได้คิดอะไรแผลงๆ เธอตวัดตามองเขา ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ อารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาติดหมัดจนเห็นช้างตัวเท่ามดและหมดความเกรงกลัวเขาไปโดยปริยาย เพราะต่อให้อ้อนวอนแทบตายคนคนนี้ก็คงไม่มีทางเห็นใจเธอหรอก เมื่อเขากำลังกุมชัยชนะอยู่ในมือ
“ฉันเป็นลม!! มีคนเป็นลมคนไหนที่ดิ้นได้บ้างล่ะคะ”
เธอกระแทกเสียงตอบกลับ กับการแก้ต่างของเขาที่ฟังแล้วช่างเหมือนการเอาสีข้างเข้าถูกับผนังห้อง
“อ้าวใครจะไปรู้!! นึกว่ายอมมาเองนี่ เห็นเงียบๆ มันช่วยไม่ได้นะ เข้าใจผิดไปแล้ว จะทำยังไงดีล่ะ”
ชายหนุ่มไหวไหล่ เขาบิดมุมปากโค้งลงเหมือนจะยิ้มเยาะเธอ ทิชากรกำมือแน่นจนปลายเล็บจิกลงไปในอุ้งมือและรีบถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธจัด
“คุณๆ!!”
เธอชี้หน้าเขา อยากจะถลาเข้าไปตะกุยหน้าหล่อนั่นแต่...เข็ดล่ะ ครั้งก่อนเธอโดนปล้นจูบหน้าตาเฉย เพราะฉะนั้นจะไม่ให้ซ้ำรอยเดิมเป็นอันขาด เพราะขณะนี้สถานการณ์อันตรายมากกว่าเก่า เมื่ออยู่ใต้อาจักรของเขา อยู่ในรถยนต์ส่วนตัวที่กำลังมุ่งหน้าไปไหนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ!!
รถยนต์จอดสนิทหลังวิ่งเข้าไปจอดที่หน้าวิลล่าหลังใหญ่ ตัวตึกฉาบสีเหลืองอ่อน มองดูอ่อนหวานและสงบเงียบ หลุยส์เปิดประตูด้านข้างให้ เขาเชื้อเชิญให้เธอลงมาจากรถ ทิชากรมุดออกมาเธอยืนข้างนอก เธอมองทิวทัศน์รอบๆ ตัวด้วยความสนใจ แม้จะอยู่ท่ามกลางความสลัวตอนกลางคืน และหากไม่ได้ถูกบังคับมา เธอคงตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะวิวสวยๆ แม่น้ำกว้างๆ ที่อยู่หน้าบ้านกับสายลมเย็นๆ ที่โชยมาปะทะหน้าพาให้สดชื่น แต่...ชายหนุ่มที่ยืนหน้าตาย อยู่ใกล้ๆ นี่ต่างหากที่ทำให้บรรยากาศสวยๆ หมดความหมาย เธอขุ่นใจจนไม่อยากจะซึมซับบรรยากาศเหล่านั้น เพราะกำลังอารมณ์ไม่ดีที่ถูกพาตัวมาแบบไม่เต็มใจ
“เธอน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของแม่น้ำไทเบอร์มาบ้างนะ หากเธอมาเหยียบโรมหลายวันแล้วน่ะ ดูท่าทางเธอไม่น่าจะใช่คนแถวนี้ ใช่ไหม”
ทิชากรตวัดสายตาใส่ก่อนจะตอบ “ค่ะ เคยได้ยินแต่ไม่คิดว่าจะได้มาเห็น เพราะมันไม่ได้อยู่ในโปรแกรมทัวร์ ฉันเป็นคนไทย ไทยแลนด์ค่ะ เคยได้ยินไหมคะ บ้านเราเป็นเมืองพุทธและปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย” เธอเค้นเสียงตอบ แยกเขี้ยวโชว์ฟันซี่เล็กๆ ให้เขาดูด้วย
“อืม...ประเทศเล็กๆ โซนเอเชีย ฉันเคยไป ผู้หญิงสวยและของกินอร่อย”
“มิสเตอร์คงไม่ได้บังคับฉันมาเพื่อจะมาคุยเรื่องอาหารการกินหรอกใช่ไหมคะ เอาล่ะค่ะ คุณต้องการอะไรกันแน่”
ความอดทนของเธอขาดผึ่ง จึงโพล่งคำถามชายหนุ่มออกไป เพราะมัวแต่ลีลาก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนเธอสั่น ร่างกายสะท้าน ฟันกระทบกันกึกกัก
“ก็ใช่... ฉันไม่ได้อยากจะคุยกับเธอเรื่องประเทศเล็กๆ นั่นหรอกน่า หรืออาหารอะไรทั้งสิ้นฉันก็ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย ฉันอยากเห็นเธอบนเตียงนอนของฉันและดิ้นพล่านอยู่ใต้ร่างฉัน นั่นคือวัตถุประสงค์ของฉันไง... เธอจะว่าไงล่ะ”
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยนะคะ ว่ามิสเตอร์เคลวินผู้ยิ่งใหญ่ จะสิ้นทางใช้วิธีบีบบังคับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งให้สมยอม ทั้งที่เขาไม่เต็มใจ”
“เธอจะไม่พูดแบบนั้น ถ้าเธอรู้ว่าจะได้เงินเท่าไหร่สำหรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้”
“ต่อให้เอาเงินมากองท่วมศีรษะฉันตอนนี้ ฉันก็ไม่สนใจหรอกค่ะ ฉันไม่ได้สิ้นคิดถึงขนาดต้องขายร่างกายแลกกับเศษเงินของคุณ!!”
ทิชากรกระแทกเสียงใส่ เธอสะบัดหน้าหนี ไม่อยากมองชายหนุ่มให้อารมณ์ขึ้น และที่แน่ๆ เธอกลัวสายตาของเขา มันลุกวาบโชนแสงขึ้น เพียงแค่ได้ยินเธอปฏิเสธ
“เธอไม่อยากพูดแบบนั้นหรอกใช่ไหม? เพราะอะไรรู้ไหม... ที่นี่คือ ‘โรม’ ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ ที่เธอเคยอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้นฉันยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้เธอสูญหายไปตลอดชีวิตหากเธอคิดลองดี”
“ฉันไม่กลัวคุณหรอกค่ะ! บ้านเมืองมีขื่อมีแป ต่อให้คุณใหญ่โตแค่ไหนคุณก็หนีเงื้อมือกฎหมายไม่พ้น”
เธอสะบัดหน้ากลับมาและก่นว่าเขาเสียงเคร่ง
“โอ!! ฉันอยู่เหนือกฎหมายที่เธอพูดถึงนะสาวน้อย ใครจะกล้ากับฉันล่ะ เพราะฉันคือ เคลวิน โดมนะ”