2.ท่านกลับมาแล้ว
ยามวิกาลดึกสงัด ขณะที่สายฝนโปรยปรายลงมาเบา ๆ หยางลี่อินที่กำลังหลับอยู่รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แผ่วเบากลางหน้าผาก นางค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ภายในครรลองสายตาปรากฏภาพของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวดุจหยวก จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตายาวรี คิ้วดกเข้ม ไรหนวดขึ้นบาง ๆ เหนือริมฝีปากได้รูป
ลมหนาวที่พัดกรรโชกมาวูบหนึ่งทำให้นางตื่นตัวมากขึ้น ทันใดนั้นเอง ภาพของกู้เฟยหลงก็แจ่มชัดขึ้นในสายตา
“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ ทานอะไรมาหรือยัง ให้ข้าไปเตรียมอาหารให้ดีหรือไม่”
หญิงสาวกล่าวพร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ถูกรั้งดึงไว้ด้วยแรงของชายหนุ่ม กู้เฟยหลงโอบเอวบางของหญิงสาวเข้ามาด้วยความคะนึงหา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของหยางลี่อิน
“หรือว่าท่านพี่เองก็คิดตรงกันกับข้า ท่านต้องการมีทายาทใช่หรือไม่”
ครั้งนี้ลมหนาวพัดมาอีกระลอก เย็นจนทำให้หยางลี่อินรู้สึกขนลุกเกรียว นางกำลังจะเดินไปปิดหน้าต่างทว่ากู้เฟยหลงส่ายศีรษะเบา ๆ เพื่อห้ามอีกฝ่ายเอาไว้
“ท่านพี่คงจะรีบกลับมาเหนื่อย ๆ จึงอยากรับสายลมสุดท้ายของเหมันต์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
กู้เฟยหลงไม่ตอบ หากแต่โน้มร่างลงไปกอดภรรยาคนงามเอาไว้ หยางลี่อินรู้สึกได้ว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายแนบแน่นกว่าครั้งไหน ๆ นางตบหลังของอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความรักใคร่
“ท่านพี่ ข้ารู้แล้วว่าท่านคิดถึงข้ามากเพียงใด ท่านคิดว่าตัวเองยุ่งอยู่กับงานแล้วข้าจะโกรธใช่หรือไม่ อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่ใช่ผู้หญิงขี้น้อยใจแบบนั้น”
จากฝ่ามือที่ตบแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายเบา ๆ ก็เปลี่ยนเป็นลูบไล้อย่างทะนุถนอม
กู้เฟยหลงใช้แขนขวารองไปที่หลังศีรษะของภรรยาเบา ๆ พร้อมกับประทับริมฝีปากลงไป ทั้งสองแลกจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่จูบกันหรือว่าร่วมหอ แต่ว่าไม่มีครั้งไหนที่ลี่อินจะรู้สึกได้ถึงความคะนึงหาอาลัยอาวรณ์เช่นนี้จากอีกฝ่ายมาก่อน
สายตาของลี่อินมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“ท่านพี่มีสิ่งใดในใจหรือเจ้าคะ”
ยังคงไม่มีคำตอบใดจากกู้เฟยหลง มีเพียงแต่จูบที่ประทับลงไปบนหน้าผากของภรรยาอย่างแผ่วเบา หยางลี่อินรู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อยจึงกล่าวไปว่า
“หากท่านพี่ยังไม่ยอมพูดกับข้า อย่าหาว่าข้าเป็นนางแมวป่าก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงของหญิงสาว นางก็ออกแรงพลิกตัวจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนและนั่งคร่อมอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะประทับจูบลงบนใบหน้าสามีหลายสิบครั้ง
“ท่านพี่ ข้ารักท่าน ไม่ว่าชาติภพไหนข้าก็จะขอรักท่าน ต่อให้ภายภาคหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ความรักของข้า ให้ฟ้าดินเป็นพยาน ให้ปรโลกเบื้องล่างเฝ้าดู ข้า หยางลี่อิน จะไม่แปรเปลี่ยนไปจากท่าน”
เมื่อรุ่งอรุณฯมาถึง พระอาทิตย์ส่องแสงผ่านช่องหน้าต่างกระทบกับใบหน้าของหญิงสาว หยางลี่อินที่หลับไหลอย่างเต็มอิ่มพลิกตัวไปกอดสามี แต่เมื่อมือขาวผ่องคว้าไปไม่พบกู้เฟยหลงผู้เป็นสามี ฮูหยินของจวนจึงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองเพียงเพื่อจะพบกับความว่างเปล่า
หยางลี่อินที่เพิ่งตื่นจากหลับใหลเหลือบมองไปที่ท้องฟ้าจากทางหน้าต่าง เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงของเสี่ยวจูร้องตะโกนดังขึ้น น้ำเสียงของสาวใช้คนสนิทฟังดูแตกตื่นกว่าครั้งไหน ๆ
“ฮูหยินเจ้าคะฮูหยิน เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”
“เช้าตรู่ถึงเพียงนี้มีเรื่องวุ่นวายอันใดกัน” ฮูหยินของจวนเอ็ดสาวใช้ส่วนตัวด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก นางเกรงว่าเสียงร้องแตกตื่นของเสี่ยวจูจะรบกวนการพักผ่อนของสามี
แต่เมื่อตั้งสติได้ หยางลี่อินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องกลับไม่เห็นว่ากู้เฟยหลงอยู่ภายใน จึงรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ประกอบกับที่เสี่ยวจูผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าของนางซีดเผือดไร้สีเลือด เสียงสั่นสะท้านอ่อนระทวยดังขึ้นทันทีที่พบหน้าผู้เป็นนาย
“ฮูหยิน เกิดเรื่องกับนายท่านเจ้าค่ะ ทหารจากกรมอาญามาเชิญตัวท่านไปยืนยัน...”
เสียงของเสี่ยวจูหายไปกลางคัน หยางลี่อินที่ฟังอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกไม่ใคร่จะสู้ดีนัก นางถามสาวรับใช้คนสนิทด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะกรุ่นโกรธ
“ยืนยัน...ยืนยันเรื่องอันใด เสี่ยวจู เจ้าพูดให้รู้เรื่องหน่อยได้หรือไม่”
เสี่ยวจูปิดเปลือกตา ก่อนจะกล่าวสิ่งที่ทำให้โลกทั้งใบของหยางลี่อินหยุดหมุน
“ทหารจากกรมอาญามาเชิญตัวฮูหยินไปยืนยันสภาพศพของนายท่านเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหยางลี่อินก็พลันเบิกกว้าง ในใจของนางเต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง นางรีบร้อนสวมเสื้อผ้าด้วยความเร่งรีบ
นอกประตูตระกูลหยาง คนรับใช้นำรถม้าออกมารออยู่ก่อนแล้ว ลี่อินขึ้นรถม้าโดยข้างกายมีเสี่ยวจูตามอยู่ไม่ห่าง
พอมาถึงกรมอาญาก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกันฝูงคนที่กำลังมุงดูอยู่ หน้าประตูมีรถม้าจอดอยู่สามคัน หนึ่งในนั้นเป็นของตระกูลกู้ ส่วนรถม้าอีกสองคัน บนเกี้ยวประดับด้วยสัญลักษณ์ของวังหลวง แสดงว่านอกจากแม่สามีที่มาถึงแล้ว ยังมีคนใหญ่คนโตอีกสองคน
ไม่รอช้า หยางลี่อินเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน สิ่งแรกที่เห็นคือ กู้หว่านจี แม่สามีของตัวเองที่กำลังโอบกอดร่างร่างหนึ่งเอาไว้แน่น นางส่งเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ
หยางลี่อินก้าวเดินเข้าไปใกล้แม่สามี หากแต่ละย่างก้าวกลับหนักประหนึ่งแบกรับด้วยขุนเขา นางไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหา เพราะไม่อยากรับความจริง ถึงแม้นางพอจะรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็ภาวนาให้สิ่งที่นางเห็นเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความเข้าใจผิดของทุกคน
หยางลี่อินมองไปยังใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดของร่างที่นอนอยู่บนพื้น ตามลำคอปรากฏผื่นแดงขนาดนิ้วมือตามตัว สองเท้าของลี่อินพลันไร้เรี่ยวแรง นางล้มลงกับพื้น เสี่ยวจูที่ตามมาไม่ห่างรีบประคองร่างฮูหยินของนางเอาไว้
หยางลี่อินน้ำตาร่วง ริมฝีปากสั่นระริก นางฝืนกัดริมฝีปากแน่นไม่ให้เสียงร้องดังออกไป นางพยายามกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเทา ถามชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของกรมอาญา
“ใต้เท้าเถิง กะ...เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสามีของข้า”
ตุลาการเถิงผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบคดีฆาตกรรมในเมืองหลวงฉางอัน ครั้งหนึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับกู้เฟยหลง การตายของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงไม่หลงเหลืออำนาจ แต่เป็นน้ำเสียงที่ญาติผู้ใหญ่ใช้ปลอบประโลมจิตใจของหลานสาว
“แม่นาง โปรดหักห้ามใจเสียเถอะ”
หยางลี่อินไม่ฟังคำปลอบใจใด ๆ นางกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงกระแทกที่ดังขึ้นกว่าเดิม
“เกิดเรื่องอะไรกับสามีของข้า!!”
ตุลาการเถิงกำลังจะกล่าวตามที่ได้รับรายงาน ทว่าเสียงของชายคนหนึ่งกล่าวขัดขึ้นก่อน
“เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัด ไม่อาจเปิดเผยแก่คนนอกได้”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หยางลี่อินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พบว่า นอกจากตุลาการเถิงและทหารในกรมอาญาแล้ว ยังมีบุรุษอีกสองคนอยู่ที่นั่นด้วย ทั้งสองน่าจะเป็นเจ้าของรถม้าที่ลี่อินเห็น
หนึ่งในนั้นคือผู้ที่กล่าวแทรกขึ้นมา ชายวัย 30 ปีเศษ ใบหน้าคมเข้ม ผิวกายสีขาวเหลือง รูปร่างสมส่วน เขาถือพัดจีบมรกตอยู่ในมือ ถึงลี่อินจะไม่เคยพบ แต่ก็พอรู้มาว่าเขาคือ ไฉจิ้นสี่ ผู้ตรวจการของสำนักบูรพา
ส่วนอีกคนเป็นบุรุษอายุราว ๆ 28-29 ปี สวมใส่ชุดราชการสีดำขององครักษ์เสื้อแพร ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวขาวเนียนละเอียด เขาเกล้าผมขึ้นสูงและครอบด้วยกวานหยกหรูหรา คนผู้นี้มีชื่อว่า อวิ้นเฉี่ยนไป๋ หัวหน้าหน่วยองครักษ์เสื้อแพร เขามีชื่อเสียงโหดเหี้ยมและดุร้าย ลี่อินเคยเห็นเขาครั้งหนึ่งในวันแต่งงานของตัวเองกับสามี
ไฉจิ้นสี่กล่าวต่อความออกไป “ฮูหยินกู้ สะใภ้กู้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นคงภายใน ขอให้พวกท่านโปรดเข้าใจ”
หยางลี่อินตอบกลับไปทันที สายตาแดงก่ำจ้องมองไปที่อีกฝ่าย
“ข้าไม่เข้าใจ”
“เพียงแค่สาเหตุการตาย ครอบครัวผู้ตายควรจะได้รู้ ไฉจิ้นสี่ หากบิดาท่านตายอย่างเป็นปริศนาแล้วข้าให้คำตอบว่าเป็นความลับของราชการ ท่านจะคิดเยี่ยงไรเล่า” อวิ้นเฉี่ยนไป๋กล่าวขึ้น
ไฉจิ้นสี่เอียงคอมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความเงียบ สายตาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด หากแต่อวิ้นเฉี่ยนไป๋หาได้สนใจ เขากล่าวแก่ตุลาการเถิงว่า
“อำนาจของกรมอาญาอยู่ที่ใต้เท้าเถิง หากคนของสำนักบูรพามีสิทธิ์มีเสียงออกความคิดเห็น เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่พอพระทัย”
ตุลาการเถิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยและกล่าวว่า
“ผลชันสูตรพบว่าในร่างกายของกู้เฟยหลงมีพิษของฝิ่นจำนวนมาก คาดคะเนว่าการตายเกิดจากการได้รับฝิ่นในปริมาณที่เกินกว่าร่างกายจะรับได้”
“ปริมาณฝิ่นในร่างที่มากเกินไป หมายความว่าสามีของข้าถูกคนทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตเช่นนั้นหรือ” หยางลี่อินกล่าวทั้งน้ำตา
“เรื่องนี้ข้าจะสืบหาความจริงและให้คำตอบแก่ตระกูลกู้อย่างแน่นอน” ตุลาการเถิงตอบ
หยางลี่อินกวาดสายตามองไปที่ไฉจิ้นสี่และอวิ้นเฉี่ยนไป๋ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“สามีของข้าอยู่ในหน่วยอวี้หลิน คิดว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพา ยิ่งมั่นใจว่าสามีของข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์ถึงขนาดให้พวกท่านมาดูศพเป็นครั้งสุดท้าย หรือว่า...การตายของสามีข้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาเล่า”
หญิงสาวที่สูญเสียสามีกล่าวออกไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด แม้แต่แม่สามีของนางอย่างกู้หว่านจียังต้องดึงรั้งแขนเสื้อห้ามปรามลูกสะใภ้เอาไว้ แต่ว่าเวลานี้ ไม่มีใครหยุดลี่อินได้อีก นางใช้สายตาจ้องเขม็งไปยังบุรุษทั้งสองคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่มาปรากฏตัวในที่แห่งนี้