เต้นท์และรสรักของเรา(2)
ค่ำคืนนี้ภาคินตัดสินใจเช่ารีสอร์ตเล็ก ๆ แต่บรรยากาศดีเป็นที่พักร่างกายเตรียมพร้อมกับการเดินทางไปแคมป์ปิ้งบนอุทยานแห่งชาติขุนสถาน
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าชายหญิงที่เคยเป็นคนแปลกหน้าต่อกันในเมื่อวานก็รีบรับประทานอาหารเช้าของทางรีสอร์ตและเดินทางขึ้นดอยทันที
“อากาศดีจังเลยค่ะเปิดกระจกดีกว่าผิงชอบอากาศแบบนี้อยากสูดให้เต็มปอดกลับไปทำงานกรุงเทพฯก็คงไม่ค่อยมีโอกาสได้มาเที่ยวแบบนี้แล้วไว้ถ้าวันไหนคุณมาอย่าลืมโทรศัพท์ไปชวนกันบ้างนะคะ”
ภายใต้รอยยิ้มและดวงตาที่ดูสดชื่นแต่มันมีความเศร้าซ่อนอยู่ในนั้นเพราะตลอดเวลา 3 ปีที่ขนมผิงใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะไม่ยอมไปทำงานที่กรุงเทพอีกแต่ในเมื่อตอนนี้ชีวิตของเธอไม่มีทางเลือกพ่อของเธอที่กำลังป่วยด้วยโรคไตก็ยังคงต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนมากเงินที่เธอได้จากครอบครัวของอดีตคนรักคงช่วยให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือนแต่เธอจะนั่งรอเวลาจนเงินหมดแล้วค่อยหางานทำไม่ได้
“คุณไม่สนใจมาทำงานบริษัทผมจริง ๆ หรือ...อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เราไปเที่ยวด้วยกันบางทีความเป็นคนดีของผลอาจจะทำให้คุณเปลี่ยนใจอยากอยู่ใกล้ ๆ เพื่อจะไปเที่ยวด้วยกันก็ได้”
หญิงสาวหันไปมองคนขับที่กำลังพูดไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาแปลกใจที่ชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ทำรอยยิ้มสดใสดูเจ้าเล่ห์เป็นเสือผู้หญิงขึ้นมาทันที
“เมื่อวานยังดูคุณเป็นคนพูดน้อยอยู่เลยแค่ข้ามคืนเท่านั้นกลายเป็นคนพูดเก่งไปเสียแล้ว คุณภาคิน ฉันเรียกชื่อถูกใช่ไหมคะเพราะตั้งแต่เราได้คุยกันฉันยังไม่กล้าเรียกชื่อคุณเลย”
ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกรู้ทัน เมื่อคืนเขาคุยกับเธอด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ใจส่วนวันนี้เขามีแผนการในใจรอยยิ้มบนใบหน้าแววตาและคำพูดทุกอย่างจึงไม่เหมือนเดิม
“ว่าแต่ผมแล้วคุณล่ะชื่ออะไรขนมผิงหรือผิงเฉย ๆ กันแน่”
“ขนมผิงค่ะ ขนมผิงแสนอร่อยแถมยังหอมด้วยรับรองว่าคุณภาคินต้องติดใจ”
สาวน้อยพูดร่าเริงนำเสนอตัวเองโดยที่เธอเองไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าสิ่งที่พูดแต่สำหรับภาคินชายหนุ่มที่ถึงแม้จะไม่ได้ชอบการมีครอบครัวแต่เขาก็มีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่เขาซื้อกินตามแบบฉบับของผู้ชายทั่วไปจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าถึงแม้จะดูเป็นเด็กแต่เธอก็มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้หัวใจความเป็นชายของเขารู้สึกหวิวไปทั้งใจ
อุทยานแห่งชาติขุนสถานวันนี้มีที่ว่างกางเต็นท์ทั่วบริเวณเนื่องจากมันไม่ใช่วันหยุดทั้งคู่จึงไม่ต้องแย่งวิวดี ๆ กับใครเรียกได้ว่ากางเต็นท์กันแบบเหงา ๆ เลยดีกว่า
“ผมไม่ได้เอาเต็นท์มาเดี๋ยวไปเช่าที่อุทยานเอาดีกว่า”
ภาคินมัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้มากางเต็นท์กับสาวและอาจจะได้ทำภารกิจที่มารดาสั่งสำเร็จจนลืมของที่จำเป็นนั่นก็คือเต็นท์ส่วนตัวของเขา
“นอนด้วยกันก็ได้ค่ะคุณคงไม่ปล้ำฉันในเต็นท์ใช่ไหมสถานการณ์โรคภัยไข้เจ็บตอนนี้อย่าใช้ของร่วมกับใครเลยดีกว่าอย่างน้อยถ้าคุณจะติดโควิดจากใครก็คงติดจากฉันเพราะเรานั่งรถมาด้วยกันตลอดทางฉันเองก็ลืมใส่แมสแล้วก็พูดพ่นน้ำลายอยู่ในรถคุณมาตั้งหลายชั่วโมง”
หญิงสาวเธอพูดเปิดทางให้เสือหนุ่มเจ้าเล่ห์ได้ทำตามแผนได้ไวขึ้นมีหรือที่ภาคินจะปฏิเสธเพราะเขาคิดมาตลอดทางที่ขับรถขึ้นดอยว่าเขาจะใช้วิธีไหนขอร่วมนอนเต็นท์เดียวหรือในโรงแรมห้องเดียวกับหญิงสาวแต่ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดทางให้แบบนี้ภาคินจึงรีบกระโจนรับทันที
“จริงด้วยผมลืมคิดเรื่องนี้เลย เดี๋ยวผมกางเต็นท์ให้คุณไปเตรียมเรื่องกับข้าวมื้อกลางวันดีกว่านี่ก็จะใกล้เที่ยงแล้วไหน ๆ เราก็เตรียมอาหารมาอย่าไปซื้อเขากินเลยมันจะไม่สมกับการกางเต็นท์ของเรา”
ชายหนุ่มรับอาสากางเต็นท์ส่วนขนมผิงสาละวนกับการเตรียมทำกับข้าวและเมนูง่าย ๆ สำหรับเที่ยงนี้ก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่กับผักบุ้งตบท้ายด้วยฮอตดอกทอดและไข่ดาวอีกคนละฟอง
“บางครั้งรสชาติของอาหารมันก็แตกต่างที่ว่าเรากินมันที่ไหนบะหมี่วันนี้กับบะหมี่เมื่อคืนนั้นผมว่ารสชาติมันต่างกันวันนี้มันดูอร่อยที่สุดเลยคุณว่าไหมขนมผิง”
หญิงสาวพยักหน้าเพราะเธอคิดตรงกับคำพูดของภาคิน ทุกอย่างตลอดเวลาที่ขับรถมาเธอเผลอลืมเรื่องราวความเจ็บช้ำที่ คนรักเก่าและครอบครัวของเขามอบให้เธอไปหมดจนสิ้นถึงเวลาที่ท้องเริ่มอิ่มลมหนาวที่เริ่มพัดมายามบ่ายทำให้หัวใจเธอกลับมารู้สึกเศร้าขึ้นอีกครั้ง