3
รสิกาครางเบาๆ เมื่อเขาใช้ส่วนปลายของความแข็งแกร่งเสียดสีอยู่ตรงร่องเสียวของเธอเบาๆ
เธอกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสกับท่อนกายชายที่กำลังเสียดสีอยู่ตรงปากถ้ำสวาท เป็นครั้งแรกที่เธอได้ทำแบบนี้กับผู้ชาย
เธอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสัมผัสที่เขามอบให้ ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว และมาถึงจุดนี้แล้ว เธอจะถอยได้อย่างไรกัน
ลึกๆ แล้ว รสิกาก็ยังคงไม่แน่ใจ แต่ร่างกายที่แนบชิดเข้ามาหา และบดจูบอย่างดูดดื่มทำให้เธอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
รสิกาจูบตอบเขา ใช้มือโอบกอดรอบคอหนาของเขาเอาไว้อย่างวาบหวาม
สิ่งที่กำลังกดเข้ามาหาทำให้เธอต้องร้องครางเสียงหลงด้วยความเจ็บ เธอถอยหนีแต่เขากุมสะโพกนิ่มของเธอเอาไว้ไม่ยอมให้เธอหนีหายไปไหนได้
“อื้อ... อย่า พอก่อน เจ็บ” รสิการ้องครางออกมาเสียงหลงด้วยความเจ็บ เธอดันหน้าท้องของเขาเอาไว้ แต่เขาล็อกร่างของเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
รสิกาถึงกับน้ำตาซึมกับความเจ็บที่ได้รับ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเสียตัวแล้วจะเจ็บปวดถึงขนาดนี้
เขาบดจูบริมฝีปากช่างประท้วงของเธอ สอดแทรกลิ้นเข้าไปพัวพันทำให้เธอเสียวซ่านและอาศัยจังหวะนั้นกดแทรกเนื้อกายชายเข้าไปเต็มๆ ลำ
รสิกาอ้าปากค้างครางเสียงหลงเธอรู้สึกเหมือนร่างกายส่วนล่างกำลังฉีกขาด
รสจูบและการเล้าโลมอื่นใดไม่ได้ทำให้เธอหายเจ็บเลยแม้แต่น้อย รสิกาภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็ว เธอจะหนีก็หนีไม่พ้นเพราะโดนล็อกเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง
นอกจากที่เธอจะไม่เสร็จสมแล้ว เธอยังปวดเมื่อยไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเมื่อชายหนุ่มนิรนามจากไปในตอนรุ่งสาง
ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ รสิกานึกถึงเพลงเพลงนี้ขึ้นมาเมื่อเธอตื่นขึ้นมาจากนิทรารมณ์อันแสนทรหดของตัวเอง
หญิงสาวพาร่างกายเจ็บแปลบไปเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย เขาจากไปคือสิ่งที่ดีแล้ว เพราะถ้าตื่นขึ้นมาเจอว่าเขายังนอนมองเธอตาแป๋ว เธอคงทำหน้าไม่ถูกเอาเสียเลย
มันจบสิ้นแล้ว เสียตัวและสิ่งที่เธอได้ทำประชดชีวิตแบบโง่ๆ หลังจากนี้ไปเธอจะพักผ่อนอยู่ที่นี่แบบไม่มีกำหนด แม้อยากจะตัดเรื่องราวเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาออกไปจากใจ แต่รสิกาก็ทำไม่ได้ เธอถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนใต้ต้นมะพร้าวเพื่อให้ร่มเงาของมันบดบังแสงแดดอันร้อนผ่าว
เสียงเรียกทำให้เธอสะดุ้งตื่น มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งเรียกเธอ ทำให้รสิกากะพริบตาปริบๆ
“มีอะไรคะ”
“ดิฉันจัดอาหารเอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วนะคะ” ประโยคของหญิงสาวแปลกหน้าทำให้รสิกานึกแปลกใจไม่น้อย
“เธอเป็นใคร อ้อ... คนของวาสิตาใช่ไหม” เธอพูดแล้วอมยิ้ม วาสิตาเพื่อนรักของเธอเป็นห่วงเป็นใยเธอเสมอ อีกฝ่ายคงกลัวเธออดเลยส่งอาหารการกินมาให้
“เอ่อ... คือ” อีกฝ่ายกำลังจะพูดแต่ถูกถามเสียก่อน
“ชื่ออะไรคะ” รสิกาเอ่ยถาม
“ชื่อขนุนค่ะ”
“ขอบใจมากนะจ๊ะขนุน” เธอมองหน้าคนตรงหน้า คิดว่าอายุน่าจะน้อยกว่าเธอหลายปี
“ไม่เป็นไรค่ะ นี่เบอร์โทรศัพท์ของหนูนะคะ คุณมีอะไรก็โทร. หาหนูได้เลยนะคะ หนูอยู่แถวๆ นี้แหละค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” รสิกายื่นมือไปรับ ก่อนจะกล่าวขอบใจ
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“จ้ะ” รสิการับคำ พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
เธอนอนหลับไปนานพอสมควร ตื่นมาก็รู้สึกหิว หญิงสาวจึงลุกจากเปลที่นอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว ขึ้นบ้านพักไปอาบน้ำอาบท่า
พอได้อาบน้ำก็รู้สึกสดชื่น ออกมาก็เจออาหารบนโต๊ะที่ครอบฝาชีเอาไว้ เธอเปิดดูก็ต้องตาโต ก่อนจะร้องว้าวและยิ้มออกมา
รสิกาส่งข้อความไปขอบใจเพื่อนรักอย่างวาสิตาที่จัดอาหารแสนอร่อยให้เธอแบบนี้ แถมยังหาคนคอยดูแลเธออีก วาสิตาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ สำหรับเธอ
หลังจากส่งข้อความไปให้เพื่อนรักเรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งลงรับประทานอาหาร
มีอาหารทะเลกลิ่นหอมกรุ่น รสชาติน่ากินแทบทั้งสิ้น ทั้งข้าวผัดทะเล ต้มยำรวมมิตรทะเล ห่อหมกทะเล กุ้งอบวุ้นเส้น กุ้งทอดเกลือ ล้วนอร่อยถูกปาก
รสิกากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เธอรู้สึกว่าได้พักผ่อนเต็มที่ ดื่มด่ำกับบรรยากาศของท้องทะเล และสายลมที่พัดมากระทบผิวกายของเธอ
หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เธอหลับไปอีกครั้ง ก่อนจะตื่นขึ้นมาในบรรยากาศของบ่ายคล้อย
การได้อยู่กับตัวเองทำให้ได้ทบทวนอะไรหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต สิ่งที่เธอคิดถึงคือจักรพงศ์แฟนหนุ่มที่ไปแต่งงานกับลูกติดของมารดาเลี้ยง
พอผ่านจุดเสียใจมาแล้ว เธอก็ได้สติ คิดว่าดีแล้วที่เขาเผยธาตุแท้เช่นนี้ออกมา ดีกว่าเธอแต่งงานกับจักรพงศ์และจับได้ว่าเขานอกกายนอกใจเธอทีหลัง ยิ่งถ้ามีลูกมีเต้าแล้วต้องเลิกรากันไปเพราะฝ่ายชายนอกใจก็ยิ่งทำให้ลูกขาดพ่อ
เธออยากมีครอบครัวที่อบอุ่นไม่อยากให้ลูกเป็นกำพร้าพ่อ พ่อแม่แยกทางหรือทะเลาะเบาะแว้งบาดหมางกัน จักรพงศ์เองก็รู้นิสัยของเธอดีว่าเธอนั้น ไม่ชอบที่จะไปตามหึงหวง ด่าทอ ทำร้ายตบตีผู้หญิงที่มาแย่งแฟนตัวเอง เพราะเธอคิดว่าการทำแบบนั้นมันเป็นอะไรที่น่าสมเพชเวทนา เธอไม่อยากให้ตัวเองน่าสมเพชเวทนาเช่นนั้น
ถ้าหากผู้ชายมันไม่ดีไม่จริงใจและคิดที่จะทิ้งเธอไปมีคนใหม่ หรือนอกกายนอกใจ เธอก็ควรที่จะปล่อยเขาไป ดีกว่าไปแย่งชิงคนไม่ดีกลับเข้ามาในชีวิตอีก
คนอื่นเสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร แต่สำหรับเธอคิดว่าสุภาษิตนี้มันล้าสมัยสุดๆ เราไม่จำเป็นต้องตามคนสมัยก่อนก็ได้ คนสมัยก่อนสอนกันมาว่าอย่างไรก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องทำแบบนั้น
เมื่อก่อนสอนกันว่าผู้หญิงต้องอดทนเพื่อครอบครัว ผัวจะเลวระยำตำบอนขนาดไหนก็ไม่ควรเลิกกันให้ครอบครัวแตกแยก ลูกเป็นกำพร้า ทำยังไงก็ได้อย่าให้คนตราหน้าว่าโดนผัวทิ้ง แม้ผัวจะสารเลวแค่ไหนก็ตาม
ความคิดเช่นนั้นไม่ได้มีอยู่ในหัวของเธอ เลิกก็คือเลิก ไปกันไม่รอดแล้วจะทนกันไปทำไม นั่นคือความคิดของเธอ
รสิกาสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ลึกๆ บอกตัวเองว่าดีแล้วที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้
เธอดื่มด่ำกับบรรยากาศในช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน นั่งมองพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ไม่นานท้องทะเลกว้างก็กลืนกินก้อนสีส้มแดงฉานลงไปจนหมดสิ้น ก่อนที่ความดำมืดจะเข้ามาแทนที่ บรรยากาศรอบกายมืดมิด ก่อนจะปรากฏพระจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้า
ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง มีทุกข์มีสุข มีเศร้าเสียใจก็ต้องมีวันดีๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำใจเรื่องจักรพงศ์ได้เร็วขนาดนี้
รสิกาใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ยี่หระกับสิ่งใด การได้อยู่กับตัวเอง และได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่สนใจว่าจะเป็นกลางวันกลางคืน ไม่สนใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และไม่สนใจด้วยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เธอผ่อนคลายยิ่งนัก
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เธอบอกตัวเองในใจ หญิงสาวไม่ได้กระตือรือร้นกับการทำอาหาร คิดว่ามีอะไรในตู้เย็นก็ค่อยนำมาปรุงรับประทานง่ายๆ คนเดียวระหว่างนั่งชมจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้าในค่ำคืนนี้