พ่อก็คือพ่อ
แน่นอนว่าเขาลองยื่นไมตรีดูแล้วเธอปฏิเสธกลับทันทีอย่างนุ่มนวล แต่คนอย่างเขาถ้าอยากได้ก็ต้องได้ ในเมื่อพูดดี ๆ แล้วไม่ยอมก็ต้องเอาอำนาจเงินเข้าว่า
เขาต่อรองกับพ่อของเธอ ว่าอยากได้ตัวขวัญเอยในฐานะเมียลับ โดยแลกกับการล้างหนี้ในบ่อนจำนวนหนึ่งล้านบาทให้ทั้งหมด และจะช่วยอุดหนุนซื้อประกันประเภทเจ้าของกิจการปีละสิบล้านกับเธอ เธอจะได้ค่าตอบแทนเป็นคอมมิชชั่นถึงปีละสามแสนบาท โดยเมธีจะเช่าบ้านทาวเฮาส์ไว้ให้ที่ชานเมือง ให้เธอไปอยู่ตรงนั้น พูดตรง ๆ ก็คือเพื่อการสะดวกที่เมื่อเขาว่างเมื่อไรก็จะหนีเมียมาหาเธอนั่นแหละ
แน่นอนว่าขวัญเอยปฏิเสธทันควันด้วยความโมโหแต่พ่อของเธอก็พยายามเกลี้ยกล่อม
“ ขายประกันไปวัน ๆ จะไปพอกินอะไรวะ แต่ถ้าแกยอมเป็นเมียน้อยท่านนะ นอกจากจะล้างหนี้ให้พ่อแล้ว แกยังจะได้เงินค่าคอมจากการขายประกันปีละสามแสนเลยนะโว้ยนังขวัญ บ้านท่านก็จะเช่าให้แกอยู่ต่างหาก แถมยังให้เงินเดือนอีก ถ้าแกปรนนิบัติท่านดี ๆ เผลอ ๆ ก็จะรีดไถได้อีก บ่อเงินบ่อทองทั้งนั้น ”
“ ไอ้เงินทองที่พ่อใช้เอาไปถลุงมันก็มาจากอาชีพขายประกันไปวัน ๆ ที่พ่อดูถูกทั้งนั้น พ่อไม่ห่วงความรู้สึกหนูบ้างหรือไง ไอ้เงินทองที่ท่านจะให้น่ะมันแลกกับเกียรติกับศักดิ์ศรีของลูกสาวพ่อนะ หนูจะต้องไปเป็นเมียเก็บเมียน้อยของคนที่อายุคราวพ่อ มันบาปด้วยนะพ่อ ! ”
“ เกียรติศักดิ์ศรีน่ะมันกินไม่ได้หรอกโว้ย แล้วไอ้เรื่องบาปกรรมน่ะมันมีที่ไหนกัน ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป แกก็อยู่เงียบ ๆ อย่ากระโตกกระตาก แค่นี้เมียเขาก็ไม่รู้แล้ว เอาล่ะ ๆ พ่อขอโทษแกก็ได้ที่พลั้งปาก แต่ยังไง ๆ งานของแกมันก็ไม่ได้ทำให้เรามีอยู่มีกินได้แบบก้าวกระโดด แต่ถ้าแกยอมท่านนะชีวิตเราจะดีขึ้น หนี้เกือบล้านของพ่อก็ถูกโละ แถมท่านให้บ้านส่วนตัวกับแกแถมเงินไว้ใช้จ่ายอีก แต่ถ้าแกไม่เอา พ่อก็จะถูกที่บ่อนฆ่า หรือแกอยากให้พ่อตาย ? ”
หรือแกจะอยากให้พ่อตาย คำถามประชดประชันนั้นคือเหตุผลที่ขวัญเอยจำต้องยอมจำนน
บางทีเธอก็สงสัยนะว่าพ่อเคยรักเธอบ้างหรือเปล่า ทำไมแม่ถึงได้รักผู้ชายที่เห็นแก่ตัวไม่หยุดคนนี้ได้ หรือที่แม่ชิงตายจากไปก็เพราะพ่อเป็นคนแบบนี้...
แม่ของเธอถูกรถชนตายที่หน้าตลาดตอนเธอพึ่งเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่ง ตำรวจสรุปสำนวนว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่แม่ค้าสองสามคนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าแม่จงใจเดินลงถนนให้รถชนตาย
‘ ไอ้ชัชมันทั้งขี้เมาทั้งติดการพนัน พอนังขิมมันพูดบ้าง ก็โดนทุบโดนตี ใครมันจะไปทนไหววะ ตายเสียดีกว่าอยู่ ’
นี่คือคำพูดที่ขวัญเอยได้ยินมาจากชาวบ้านร้านตลาดเขาว่ากันลับหลังพ่อ
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามเธอก็เติบโตมาจากการเลี้ยงดูของเขา คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ แม้ว่ามันจะทุลักทุเล แม้เขาจะแทบไม่อยู่บ้านเลย เธอต้องดูแลหุงหาอาหารเองตั้งแต่เด็ก ซักผ้าซักผ่อนช่วยเหลือรับผิดชอบตัวเองมาเสมอจนกระทั่งเติบโต
ขวัญเอยไม่เคยนอกลู่นอกทาง มิหนำซ้ำยังเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนอยู่เสมอ เธอเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมหนึ่ง ตั้งแต่เด็กล้างจานในร้านอาหาร เด็กเสิร์ฟ รับจ้างเข็นผัก และอีกหลายอย่างที่เป็นงานสุจริต ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน ถ้าหากมีเวลาพอ ไม่เบียดเบียนเวลาเรียนและได้เงิน ขวัญเอยทำทั้งนั้น
แต่พ่อของเธอก็ไม่เคยเห็นคุณค่าใด ๆ ของลูกคนนี้ ยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยสนว่าลูกจะต้องเหนื่อยยากลำบากหาเงินมาอย่างไร ถ้าเขาอยากได้เงิน เขาแบมือขอ ลูกต้องมีให้ ไม่งั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นลูกทรพี
หลายครั้งหลายหนที่ขวัญเอยอยากจะหนีไปเสียให้พ้น ทิ้งพ่อให้รับกรรมที่ก่อเอาไว้ แต่เธอก็ใจไม่แข็งพอ
ยังไงพ่อก็คือพ่อ เธอทิ้งท่านไม่ได้ลงคอหรอก..
ทำให้วันนี้เธอต้องย้ายมาอยู่ทาวเฮาส์นอกเมืองที่ท่านเมธีเช่าไว้ให้ โดยพ่อยังอยู่ที่บ้านอย่างสบายอกสบายใจ ทั้งที่เธออยู่ที่นั่นด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าวันไหนชายแก่นั่นจะมาพรากความบริสุทธิ์ของเธอไป