บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2

“มันก็พอมีหนทาง... มีวิธีที่จะทำให้บ้านเราไม่ต้องโดนธนาคารยึด แต่หนูต้องช่วยแม่ งานนี้ต้องพึ่งหนู มันอาจจะลำบากใจหน่อย แต่ก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายเท่ากับการที่ครอบครัวของเราจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”

นางวิไลเกริ่นออกมาเล็กๆ น้อย หล่อนคิดถึงเรื่องนี้โดยที่ยังไม่ได้ปรึกษากับนายสมพงษ์ผู้เป็นสามี

“วิธีไหนคะแม่?”

ความสงสัยเร่งเร้าให้คนเป็นลูกสาวอยากรู้

“หนูต้องแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ สักคน... ผู้ชายที่สามารถกอบกู้ฐานะครอบครัวของเราให้กลับคืนมาเหมือนก่อน”

นางวิไลรู้สึกละอายที่ต้องใช่วิธีนี้ หากหล่อนก็มองไม่เห็นหนทางอื่นที่ดีไปกว่านี้

“แต่มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะแม่ การจะรักจะชอบกันมันต้องใช้เวลาเรียนรู้ดูใจ ถ้าจะต้องคบหากับปุบปั่บหนูว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วใครจะเข้ามาเสี่ยงเพื่อแบกรับภาระครอบครัวเรา”

“เป็นไปได้สิลูก... ถ้าหนูได้เจอผู้ชายที่ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี เขาน่าจะช่วยกอบกู้ฐานะครอบครัวเราได้”

อันที่จริงนางวิไลเคยคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว ถึงขั้นเคยนำเอาความทุกข์ไประบายให้กับคุณหญิงสดศรีซึ่งเป็นเพื่อนสนิทได้ฟัง ว่าครอบครัวกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ ซึ่งคุณหญิงสดศรีนั่นเองที่เป็นคนแนะนำว่า ‘ทางลัด’ ทงเดียวที่จะกอบกู้วิกฤติการเงินครอบครัวได้ ก็คือให้นุชนภางค์แต่งงานกับผู้ชายรวยๆ สักคน

“มันพอมีหนทาง... แต่ขึ้นอยู่กับว่าหนูจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า?”

นางวิไลจ้องหน้าลูกสาว เอ่ยขึ้นเบาๆ เหมือนโยนหินถามทาง ครั้นแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกหนักใจขึ้นมาเสียเองกับการตัดสินใจซึ่งไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า

“ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณแม่เห็นสมควรยังไงก็จัดการไปตามสมควรเถอะค่ะ... หนูคงไม่ขัดข้อง ถ้ามันจะช่วยให้ครอบครัวของเราผ่านพ้นวิกฤติการเงินในครั้งนี้ไปได้”

หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงซึ่งหาความหนักแน่นไม่ได้เลยสักนิด หากก็เอ่ยออกมาด้วยอารมณ์อยากตอบแทนครอบครัว

นุชนภางค์รู้ดีว่าที่ผ่านๆ มาครอบครัวของเธออุตส่าห์ส่งเสียในเรื่องการศึกษาจนสามารถคว้าปริญญามาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของฟิลิปปินส์มาหมาดๆ

ซึ่งในระหว่างที่กำลังศึกษาอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศนั้นนุชนภางค์หารู้ไม่ว่าครอบครัวเดือดร้อน ต้องกัดฟันส่งเสียเธออย่างยากลำบาก ด้วยฐานะการเงินตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤติ เพียงแต่ไม่มีใครปริปากบอกให้เธอรู้

“แม่ขอบใจจ๊ะ ที่หนูอยากช่วยเหลือครอบครัวของเรา งั้นวันนี้แม่จะแวะไปหาคุณหญิงสดศรี เพราะท่านคงมีคำแนะนำดีๆ เพื่อช่วยเหลือเรา ใครๆ ก็รู้ว่าคุณหญิงสดศรีท่านถนัดนักในเรื่องแม่สื่อแม่ชัก เคยจับคู่ให้คนสมหวังมาแล้วมากมาย”

“แล้วแต่แม่เถอะค่ะ... หนูยังไงก็ได้”

นุชนภางค์พยักหน้าเนือยๆ พยายามฝืนยิ้มให้มารดา ทั้งที่รู้สึกว่าลึกๆ ภายในใจของตนกำลังรวดร้าว ด้วยไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าครอบครัวจะมีวันตกอับถึงเพียงนี้

คฤหาสน์หลังใหญ่ของคุณหญิงสดศรี

ภายใต้เพดานห้องรับแขก ประดับประดาเอาไว้ด้วยพวงโคมคริสตัลช่อใหญ่ ห้อยระย้าเป็นชั้นลงมาจากฐานทองเหลืองมลังเมลือง ดัดเป็นรูปเครือเถาพรรณพฤกษาเรื้อยลดหลั่นลงมาจากฝ้าเพดาน

“เห็นทีว่าดิฉันคงต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากคุณพี่แล้วละค่ะงานนี้”

นางวิไลกล่าวกับคุณหญิงสดศรีด้วยสุ้มเสียงสุภาพอ่อนน้อม เมื่อถูกเชิญให้เข้ามานั่งคุยกันในห้องรับแขกของคฤหาสน์หลังใหญ่

“จะต้องมาขอบคุณทำไมกัน และก็ไม่ถือว่าเป็นการรบกวนแต่อย่างใด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยสักนิด อะไรที่ช่วยเหลือได้ก็ต้องช่วยกัน จะว่าไปแล้วครอบครัวเราก็คบหากันมานานแล้ว”

คุณหญิงสดศรีเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง

“ขอบคุณค่ะคุณพี่”

นางวิไลยกมือไหว้สตรีผู้อาวุโสกว่า ด้วยคุณหญิงสดศรีเคยเป็นภรรยาของอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ อีกทั้งยังเคยเป็นอดีตนายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ทำให้หล่อนรู้จักผู้คนในสังคมชั้นสูงมากมาย รวมถึงนักธุรกิจและแวดวงไฮโซของเมืองไทย

ท่าทางมีน้ำใจและน้ำเสียงเอื้อเฟื้อของคุณหญิงสดศรีทำให้นางวิไลรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก

“ปีนี้หนูนุชนภางค์อายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”

คุณหญิงสดศรีถาม

“ปีนี้ยัยนุชก็ยี่สิบสามแล้วค่ะ”

นางวิไลตอบ

“ถือว่าอายุยังน้อย แต่ก็สมควรมีครอบครัวได้แล้วนะ ช้าไปจะไม่ดี สำหรับผู้หญิงเราถือว่าความสวยความสาวเป็นสิ่งมีค่า ใครที่มีลูกสาวสวยก็เหมือนมีทรัพย์นับแสนนับล้าน โดยเฉพาะสวยๆ อย่างหนูนุชนภางค์ด้วยแล้ว รับรองว่าถ้าจะหาสามีรวยๆ สักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

คุณหญิงสดศรีเอ่ยด้วยความเชื่อมั่น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel