บทย่อ
“พี่เมฆจะให้นุชทำอะไรคะ... นุช... ” หญิงสาวกำลังจะบอกว่าเธอไม่เคย “ไม่ต้องกลัวครับ มานั่งตรงนี้ครับ นุชทำได้สบายๆ ไม่ยากเลยสักนิด หันหน้ามาทางนี้ คร่อมลงบนตัวพี่” “ว้าย!” หญิงสาวตกใจ ท่วงท่านี้ช่างผาดโผนนัก เพราะเมฆาอยากให้เธอคร่อมลงบนลำตัวเขาซึ่งแลเห็นแก่นกายใหญ่โตเครียดขึงอยู่ตรงหน้า นุชนภางค์ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าขืนเธอนั่งทับลงไป... มันคงล้ำลึกไปถึงไหนต่อไหน อีกใจอยากลอง หากอีกใจกลับหวั่นหวาดกลัวเจ็บ “นะครับ... พี่จะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้น้องนุชเป็นคนจัดการเอง ตื้น ลึก หนัก เบาพี่ยอมให้นุชควบคุมเอาเองทุกอย่าง” เขาว่าพลางรั้งสะโพกของเธอให้คร่อมลงมาระหว่างหน้าขาแข็งแรง ซึ่งในอารมณ์นั้นนุชนภางค์จำต้องยินยอมอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ชายหนุ่มจัดท่าทางเอาตามแต่ใจด้วยสถานการณ์พาไป “ค่อยๆ ทิ้งสะโพกลงมานะครับคนดี” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหลือเชื่อ “พี่เมฆอย่าแรงนะคะ... นุชกลัวค่ะ” “จ้ะ... พี่สัญญาว่าจะเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” สองมือรวบอยู่ที่เอวคอดของหญิงสาว ค่อยๆ กดบั้นท้ายหนั่นแน่น แนบเน้นลงมาบนความแข็งแกร่งของเขา
ตอนที่ 1
ภายในบ้านหลังใหญ่ มีลักษณะเป็นเรือนไม้สองชั้น ปลูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ตระหง่านอยู่บนเนื้อที่กว้างขวาง เป็นบ้านของผู้ดีเก่าที่สืบเชื้อสายมาจากขุนนางในอดีต
ในสายตาของผู้คนภายนอกที่มองมาต่างก็พากันเข้าใจว่าผู้คนในบ้านหลังนี้คงร่ำรวยนักหนา หารู้ไม่ว่าตอนนี้ผู้เป็นเจ้าของบ้านกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ ‘ถังแตก’ จนตรอกกับปัญหาการเงินที่รุมเร้าเข้ามาทุกทิศทาง
“เช้านี้ดูท่าทางคุณแม่เครียดๆ นะคะ... มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
‘นุชนภางค์’ เอ่ยถามคุณนาย ‘วิไล’ ผู้เป็นมารดาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ในทันทีที่เธอก้าวลงมาจากบันไดชั้นสองของบ้านแล้วสังเกตเห็นว่านางวิไลนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขก ดวงตาซึ่งเคยเป็นประกายแจ่มใส วันดูหม่นแสงลงไปมาก ยิ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจนก็ตอนที่นุชนภางค์เดินเข้ามาใกล้
“เอ่อ... มีเรื่องเครียดน่ะลูก”
นางวิไลฝืนยิ้มให้ลูกสาว
หล่อนบอกตัวเองว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวหนักใจให้นุชนภางค์ได้รับรู้โดยเด็ดขาด หากดูเหมือนว่าวันนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว เพราะปัญหาเริ่มบีบคั้นรุนแรงเข้ามาทุกที
นางวิไลจ้องหน้าสูกสาวด้วยความรู้สึกสับสนใจ หรือบางทีหล่อนควรจะบอกให้นุชนภางค์ได้รู้ไว้... เพื่อเตรียมตัว เตรียมทำใจรับความเปลี่ยนแปลงเสียแต่เนิ่นๆ
“เรื่องอะไรคะที่ทำให้คุณแม่เครียด... บอกได้มั้ย หนูพอจะช่วยได้มั้ยคะ”
เสียงถามเต็มไปด้วยความห่วงใย หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ แล้วหย่อนร่างสะโอดสะองลงนั่งบนโซฟาเคียงข้างมารดา ในมือถือแฟ้มเอกสารสีดำ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ตอนนี้พ่อกับแม่กำลังพยายามหาหนทางแก้ปัญหา หนูไปทำงานเถอะจ้ะ ชักช้าเดี๋ยวจะสาย นี่ก็จวนจะแปดโมงแล้วนะ”
นางวิไลตัดสินใจในนาทีสุดท้าย ว่าไม่ควรบอกเรื่องที่กำลังกลัดกลุ้มใจให้กับลูกสาวได้รับรู้ หากเสียงรบเร้าก็ทำให้หล่อนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ถ้ามีความทุกข์ใจแล้วคุณแม่ไม่ยอมบอกให้หนูรู้... คำว่า ‘ครอบครัว’ จะมีความหมายอะไรกับหนูล่ะคะ? ในฐานะที่หนูเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว หนูควรได้ร่วมแบ่งเบาปัญหาได้บ้าง อย่าลืมว่าในวันที่มีความสุขเรา ‘สุข’ ร่วมกัน แต่ในวันที่คุณแม่กับคุณพ่อกำลังมีความทุกข์หนูจะสุขอยู่ได้ยังไงล่ะคะ”
นุชนภางค์ให้เหตุผลน่าฟัง
นางวิโลอึ้งไปเล็กน้อย มองหน้าลูกสาวด้วยแววตาซาบซึ้ง ถึงขนาดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
นุชนภางค์รู้ว่าความทุกข์ใจของมารดาคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว เพราะเท่าที่จำความได้... นางวิไลไม่เคยร้องไห้ให้เห็นเลยสักครั้ง หากคราวนี้ถึงกับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
“ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว... ”
คนเป็นมารดามองหน้าลูกสาวด้วยสีหน้าขมขื่น ก่อนที่ความอัดอั้นจะพังทลาย แล้วความอึดอัดในใจก็พร่างพรูออกมาจนหมดสิ้น
เสียงบอกเล่าทั้งน้ำตาของคุณนายวิไล ทำให้นุชนภางค์ได้รู้ว่าบ้านของเธอกำลังจะถูกธนาคารยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว สาเหตุก็สืบเนื่องมาจากนาย ‘สมพงษ์’ ผู้เป็นบิดาของเธอมีความจำเป็นต้องนำบ้านเข้าจำนองไว้กับธนาคาร เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย หมุนเวียนหล่อเลี้ยงธุรกิจส่งออกเฟอร์นิเจอร์ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ หลังจากต้องแบกรับภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องนับปี
หากสุดท้ายนายสมพงษ์ก็ไม่สามารถประคับประคองบริษัทเอาไว้ได้อย่างที่ตั้งใจ ทั้งที่ลงทุนลงแรงสร้างมากับมือ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อภาวะเศรษฐกิจซบเซา ไม่อาจแข่งขันกันสินค้าจากเมืองจีนที่ทะลักเข้ามาแข่งขันจนผู้ประกอบการรายย่อยล้มหายไปมาก ด้วยไม่อาจแข่งขันในเรื่องต้นทุนการผลิตกับประเทศจีนซึ่งถูกกว่าหลายเท่านัก
“เป็นแบบนี้นี่เอง... ทำไมคุณแม่เพิ่งบอกหนูล่ะคะ”
เสียงของนุชนภางค์สั่นเครือ ทั้งที่เธอพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็รินไหลออกมาจนได้
“คุณพ่อเป็นคนห้ามไว้จ้ะ... คุณพ่อไม่อยากให้หนูคิดมาก”
นางวิไลบอกตามที่ได้ตกลงกับสามีว่าจะไม่ให้นุชนภางค์รู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด
หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง กุมมือมารดาแล้วบีบเบาๆ มองตาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะคะคุณแม่”
แววความกังวลฉายวาบขึ้นในดวงตาของนุชนภางค์ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวเธอสมควรได้รับรู้ปัญหานี้
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปคะคุณแม่?”