ตอนที่ 1 ขยะตัวเป็นๆ (1)
ตอนที่ 1 ขยะตัวเป็นๆ
ลอยเคว้งคว้าง โดดเดียวเดียวดาย ล่องลอยไร้น้ำหนัก ไร้เรี่ยวแรงและหลักแหล่งใดๆทั้งสิ้น มองไปทางไหนก็มีแต่เศษหินและซากอะไรก็ไม่รู้ เขาไร้ซึ่งหนทางไปต่อ ถ้าหากว่าเขายังไม่หายใจและมีชีวิตอยู่ เขาก็คงจะเป็นเศษซากขยะไปแล้วเช่นกัน ไม่ใช่สิ ตัวเขาก็ถูกเรียกว่าขยะบ่อยๆนี่นา พอมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนได้เจอเพื่อเก่าเพื่อนแท้นั่นแหละ
“เฮอๆๆ” เขาได้แต่เพียงเปิดปากเค้นเสียงหัวเราะตัวเองอย่างน่าสมเพช สุดท้ายเขาก็คงเป็นได้แค่ขยะจริงๆเหมือนที่พวกคนเหล่านั้นปรามาสไว้ตลอดนั่นแหละ
“สงสัยต้องตายอยู่ที่นี่แล้วจริงๆสินะ” เขาเอ่ยแค่นั้นก่อนจะหลับตาลงรอรับความเป็นจริงที่โหดร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน ตัวเขาคนนี้นะหรือ ก็คือนายเพเนียส พิพัทพงศ์ เด็กหนุ่มวัยสามสิบผมสีขาวปลอดที่พึ่งเรียนจบการศึกษาภาคบังคับมาสดๆร้อนๆ ยังไม่ทันได้ฉลองอะไรเลยก็ไปมีเรื่องเข้าเสียก่อน จนต้องมาถูกมัดมือมัดเท้าถูกมาปล่อยไว้อยู่ที่นี่เสียได้
ย้อนกลับไปเมื่อวาน ก่อนที่เพเนียสจะได้ไปลอยเคล้งอยู่แบบนั้น
ในปลายเดือน 11 ในหน้าหนาวที่มีหิมะตกลงในหลายพื้นที่ แต่ดีหน่อยที่วันนี้หิมะยังไม่มีทีท่าจะตกเลย โรงเรียนแห่งหนึ่งในดาวกอซหรือดาวระดับบีในสหพันธรัฐเซเรนิออส วันนี้เป็นวันที่ชื่นมื่นกว่าทุกๆ วัน เพราะเป็นวันรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาภาคบังคับ (มัธยมศึกษาตอนปลาย) หลังจากออกจากหอประชุมมาแล้วเหล่านักเรียนที่จบการศึกษาก็แยกย้ายกันไปยังจุดต่างๆของโรงเรียน บางคนมีทั้งครอบครัวมาร่วมแสดงความยินดี รุ่นน้องหรือรุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็หอบเอาของมามอบให้มากมาย หรือจะรวมกลุ่มกันไปถ่ายรูปยังจุดต่างๆ เป็นที่ระลึกให้นึกถึง
แต่นั่นไม่ใช่กับเพเนียสเด็กหนุ่มที่พึ่งจะเรียนจบเช่นกัน เพราะว่าไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดีกับเขาเลยและก็ไม่มีเพื่อนคนไหนมาเรียกเขาไปถ่ายรูปด้วยเลยสักคน แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีครอบครัวนะ ครอบครัวเขาจริงๆ ก็อยากมาอยู่หรอกแต่เขาห้ามไว้เพราะบ้านเขาอยู่อีกดาวดวงหนึ่ง เขาจึงไม่อยากให้พวกเขาลำบากเดินทางนั่งยานมากว่า 13 ชั่วโมง อีกอย่างเขาจะกลับไปบ้านในวันพรุ่งนี้แล้ว และอีกเหตุผลที่เขาไม่อยากให้ครอบครัวมาหาก็เพราะว่าเขาไม่มีเพื่อนเลย เขาอยู่โดดเดี่ยวไร้คนคบในโรงเรียนแห่งนี้มากว่าสี่ปีแล้ว
ในเมื่อพิธีการสิ้นสุดลงแล้วเขาก็จะเดินกลับห้องพักเลยไม่รั้งอยู่ต่อแล้ว หากเป็นไปได้เขาอยากจะกลับตั้งแต่วันนี้ด้วยซ้ำไป...
“จะไปไหน พ่อหนุ่มบ้านสวนไร่ปลายนามาถ่ายรูปเขาพวกเราก่อนสิ” ก่อนที่เพเนียสจะได้เดินออกไปให้ห่างจากผู้คนเพื่อปลีกตัวกลับหอพัก เพื่อน(?)ร่วมห้องก็เข้ามาดึงเขาไปถ่ายรูปด้วยเสียก่อน
“นี่พวกเรา หนุ่มบ้านสวนจากดาวดี(D)มาแล้วเว๊ยยยยย” คนที่ลากเขามาถ่ายรูปด้วยร้องบอกเสียงดังขึ้น ก่อนที่คนอื่นได้ยินและร้องเสียงรับกันอย่างสนุกสนานเฮฮายิ่งกว่าฟังมุกขำเสียอีก
“โอ้ ดีเลยๆ ต่อไปเราจะไม่ได้เจอคนจากดาวด้อยพัฒนา อ้อ ดาวระดับดีอีกแล้วสินะ คงต้องคิดถึงนายแน่ๆเลยเพเนียส ฮ่าๆๆ” หญิงสาวหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องเอ่ยขึ้นแสร้งทำหน้าเศร้า ก่อนจะหันไปหัวเราะต่อกระซิกกับเพื่อนสาวในกลุ่มที่พร้อมเป็นลูกคู่ต่อความอยู่
“นั่นสินะ มาซิ่!! จะยืนเบื้อหัวขาวอย่างกับคนแก่อยู่ทำไม แล้วก็นั่งลงด้วย” เสียงของอีกคนอย่างมอรูกัสร้องบอกขึ้นเสียงดังกว่าคนไหนๆ จนทำให้เพเนียสต้องสะดุ้งตัวโยน และต้องยอมเดินเข้าไปร่วมเฟรมโดยต้องนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาอย่างจำยอม ทั้งๆ ที่พื้นตรงนี้มีหิมะอยู่เต็มแต่ก็ยังจะให้เขานั่งลงเพื่อแช่หิมะเย็นๆ นี่นะเหรอ ได้แต่บอกตัวเองว่าทนไว้นะเพเนียส เดี๋ยวมันก็จบ เดี๋ยวนายก็ไม่ต้องทนอะไรแบบนี้แล้ว
“ฮ่าๆๆ ต้องอย่างนี้สิวะ อ้าวถ่ายเลย” เสียงเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันจากมอรูกัสและสองมือของเขาที่วางแหมะไว้บนหัวของเพเนียสก่อนจะยกยิ้มให้กับกล้องต้องหน้าหลายตัว
“อ้าว นายที่นั่งอยู่นะ ยิ้มหน่อยสิ ยิ้มเหมือนตอนที่เคยมาดาวบีครั้งแรกสิ”
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงร้องบอกของช่างถ่ายภาพทำให้คนที่ได้ยินพากันหัวเราะออกมาดังลั่นทำให้ภาพที่ออกมานั้นมีแต่รอยยิ้มสดใสสมกับวัย ต่างจากอีกคนที่นั่งหน้าเครียดและมือสองข้างกำแน่นอยู่ วันนี้เขาอุตส่าห์คิดว่าจะได้พ้นจากพวกนี้แล้วเสียทีแต่ก็ต้องมาถูกกักตัวอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นไอ้โง่ยอมให้ถูกแกล้งแบบนี้หรอกนะ แต่เป็นเพราะเขาต้องฝืนใจยอมต่างหาก คนพวกนี้คือเจ้าถิ่นหรือก็มีครอบครัวเป็นแบ็คอัพให้ได้ไม่ว่าจะทำเรื่องใดๆ ก็แล้วแต่ ต่างจากเขาที่มาจากดาวระดับดีที่ด้อยพัฒนา ใครๆ ต่างก็ดูถูก หาว่าเขาบ้านนอกบ้างละ หาว่าเขาเป็นขยะบ้าง เขาก็เพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือถึงจะไม่ได้เรียนเก่ง แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าจนถึงคำที่ว่าเป็นขยะได้ แต่ก็เท่านั้นแหละ ในเมื่อเขาเป็นความหวังของที่บ้านแล้วเขาก็ต้องยอมมาตลอดสี่ปี ยอมให้ดูถูกและแกล้งตลอดมา แต่วันนี้เขาจะขอเอาคืนบ้างก็แล้วกัน ถือว่าเป็นวันสุดท้าย อย่างไรพวกนี้ก็เอาเรื่องขู่ว่าจะแจ้งเรื่องความประพฤติเขาให้ทางโรงเรียนรู้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะเขาเรียนจบแล้วอย่างไรล่ะ
พรึ่บบบ
เมื่อเรียกกำลังใจความกล้าได้แล้วเพเนียสก็ดีดตัวลุกขึ้นทันทีตอนที่คนพวกนี้กำลังเปลี่ยนมาถ่ายวีดีโอกันอยู่อย่างสบายอกสบายใจ
“พอได้แล้ว!” เขาเอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างเหลืออด อย่างที่คนพวกนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เป็นอะไรไปวะพวก รีบกลับไปไล่ควายที่บ้านเหรอ”
“ฮ่าๆๆๆ ไล่ควายๆๆ” และก็ตามด้วยเสียงขบขับชอบใจของกลุ่ม
“พวกนายนั้นแหละพอได้แล้ว เป็นบ้าเหรอไงวะ” เพเนียสตะคอกกลับพร้อมหน้าตาที่โมโหสุดชีวิต เส้นเลือดตรงลำคอขึ้นเส้นหน้าแดงก่ำ เขาเก็บเอาความถูกกดไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเข้ารวมกันไว้ตอนนี้แล้ว วันนี้เขาพร้อมจะระเบิดเต็มที่
“อะไรๆ ใจเย็นสิ เสียงดังไปได้” มอรูกัสว่าก่อนจะเข้ามาตบไหล่สองสามทีเหมือนเป็นการเรียกสติให้ใจเย็นลงด้วยใบหน้าเพื่อนแสนซื่อ แต่น้ำหนักที่ลงมานั้นแรงกว่านั้นมาก
“ไม่ต้องมาแสร้งมาทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถ้าพวกแกไม่หยุดแกล้งฉันจะเอาข้อมูลทุกอย่างไปแจ้งตำรวจแน่ ว่าทำอะไรไว้บ้าง” เขาว่าออกมา
“อะไรกัน ข้อมูลอะไร ฮื้ม” มอรูกัสยังคงใช้น้ำเสียงเย็นเข้าถาม ส่วนคนอื่นๆก็ช่วยกันคนอื่นให้ห่างออกไป เพราะจริงๆแล้วคนห้องอื่นไม่ได้รู้เรื่องด้วยเท่าไหร่ที่คนห้องนี้รวมหัวกันแกล้งเพเนียส เอ๊ะ หรืออาจจะรู้แต่ไม่ทำอะไรหรือไม่กล้าทำกันนะ เพเนียสก็ไม่ได้รู้จักกับใครด้วยสิ