ไอ้ลุงโรคจิต
แสงแดดสุดร้อนของเมืองไทย กับการเดินทางเข้ากรุงเทพฯของเมธาวี ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด นอกจากจะไม่รู้ทางแล้วหญิงสาวยังต้องอดทนกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากๆ แถมอากาศยังเต็มไปด้วยมลพิษจากควันรถที่จอดต่อแถวกันยาวกว่ารถไฟเสียอีก ไม่รู้ทำไมคนถึงได้อยากมาอยู่ในเมืองที่แออัดแบบนี้กันนักก็ไม่รู้
ระหว่างที่คิดขาก็เดินลากกระเป๋าเดินทางหลบหลุมอุกกาบาตบนฟุตบาทไปด้วย เมธาวีสังเกตว่าคนในเมืองแค่ก้าวเท้าเดิน ก็เดินเร็วกว่าเธอยามเดินปกติเป็นสองเท่าแล้ว ไม่รู้ว่าจะรีบร้อนไปไหนกัน
ปื้น ปื้น…..
“โอ๊ย! นี่มันทางคนเดิน ไม่ใช่ทางรถวิ่งนะ”
เมธาวีตะโกนบ่นออกไปอย่างหัวเสีย เมื่อเจอวินมอเตอร์ไซค์ขับสวนมาเบียดบนฟุตบาท แถมบีบแตรใส่อีกต่างหาก ก่อนจะถูกมองด้วยสายตาไม่พอใจ
“ให้ตายสิยังจะมามองแบบนั้นอีก”
บ่นแต่ก็ต้องทนเดินต่อ ทั้งที่ข้อเท้าบาดเจ็บจากขาพลิกเมื่อครู่ จนมาถึงร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่ตกแต่งได้อย่างน่ารัก มีคนยืนต่อแถวสั่งเครื่องดื่มอยู่ก่อนแล้วหลายคน น่าจะเป็นร้านดังในย่านนี้คิดแล้วก็เดินไปต่อแถวบ้าง
ระหว่างยืนรอคิวเมธาวีรู้สึกว่ามีมือของใครบางคนมาจับและบีบที่ก้นของเธอ เมื่อหันไปก็เจอชายร่างสูงท้วมไม่ถึงกับอ้วน ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง ยืนปัดมือถือด้วยท่วงท่าสบายใจ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิ้วบางขมวดมุ่นเข้าหากัน จ้องชายหนุ่มไม่วางตายิ่งเห็นชายคนนั้นไม่สนใจ ยิ่งทำให้เธอโมโหเป็นสองเท่า เพราะมั่นใจว่าต้องผู้ชายคนนี้แน่เชียวที่จับก้นของตัวเอง
“ไอ้โรคจิต จับก้นคนอื่นแล้วยังมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกเหรอ”
เสียงตะโกนของหญิงสาวทำให้ทุกคนภายในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน แต่คนถูกต่อว่ากับไม่ได้สะทกสะท้านเลย แถมตอนนี้ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ คนตัวเล็กทนไม่ไหวเดินไปปัดโทรศัพท์มือถือในมือจนเกือบหล่นนั่นแหละเขาถึงเงยหน้าขึ้นมอง
“ว่าไงไอ้โรคจิต มาจับก้นฉันทำไม” เสียงเล็กแหวใส่คนที่บังอาจมาจับก้น ดวงตาคู่คมหรี่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวพูด
“ผมเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลยนะ ฉันมั่นใจว่าเป็นแกนั่นแหละที่จับก้นฉันเมื่อกี้”
“อะไรของคุณ ผมเปล่าทำซะหน่อย”
“เปล่าอะไรก็เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณยืนอยู่ข้างหลังฉันเนี่ย ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร”
“ผมบอกว่าผมเปล่าไง ผมไม่ได้ทำ”
“จะไม่ได้ทำได้ยังไง ฉันหันมาก็มีแต่คุณนั่นแหละที่ยืนอยู่ตรงนี้ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่ากล้าทำแต่ไม่กล้ารับเนี่ย”
“คุณนั่นแหละเป็นบ้าอะไร หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า ก้นแบนยังกับกระดาน ไม่เห็นจะน่าจับตรงไหนเลย คิดไปเองรึเปล่าหรือหมกมุ่น”
“นี่!! อย่ามาวิจารณ์ก้นของฉันนะ”
“ทำไมจะทำไม่ได้ คุณยังมายัดเยียดข้อหาไอ้โรคจิตให้ผมเลย ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนทำแท้ๆ”
กรวัฒน์ต่อว่าหญิงสาวกลับอย่างไม่พอใจเช่นกัน ที่ปักใจเชื่อว่าเขาเป็นคนจับก้นเล็กๆ นั่นของเธอ
“ก็คุณจับก้นฉันจริงๆนิ”
“ก็บอกไปแล้วว่าไม่ใช่ ผมไม่ได้เป็นคนจับ” เสียงเข้มดุบอกอย่างหัวเสียที่จู่ๆก็ถูกปรักปรำ
“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร”
“แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง”
“ก็เพราะเป็นคุณนั่นแหละ ไอ้ลุงอ้วนโรคจิตน่ารังเกียจ”
“หยุดเลยนะ ถ้าไม่หยุดคุณได้เจอดีแน่”
เสียงเอะอะโวยวายเถียงกันไปมา ทำคนในร้านต่างล้อมวงยืนมองมายังทั้งคู่ รวมถึงเจ้าของร้านอย่างธนนท์ด้วย ที่ต้องเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีเรื่องอะไรกันไอ้กร เสียงดังลั่นร้านเชียว”
“ถามยัยเม่นนี่เองสิ”
“นี่..”
“ใจเย็นๆก่อนครับคุณลูกค้า พอจะบอกผมได้มั้ยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“แล้วคุณเป็นใคร”
“ผมเป็นเจ้าของร้านครับ”
“คุณรู้จักไอ้ลุงโรคจิตนี่ด้วยเหรอ” ใบหน้าหวานขึงตาดุใส่เจ้าของร้านอย่างเอาเรื่อง
“เอ่อ ..ครับ” ธนนท์มองตามมือน้อยที่ชี้ไปทางเพื่อนก็พยักหน้ารับ
“ไอ้ลุงนี่ มันจับก้นฉันแล้วไม่ยอมรับ”
“ฮ่ะ จริงดิ” ธนนท์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
“กูเปล่า กูไม่ได้ทำ”
“จะเปล่าได้ยังไง ก็มีแค่คุณที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัน”
“เอ่อ...ผมว่าทั้งสองคนใจเย็นๆกันก่อนนะครับ เอาแบบนี้ดีกว่าเพื่อไม่เป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่น เชิญทั้งสองคนเข้าไปคุยในห้องทำงานผมดีกว่า”
สิ้นคำของธนนท์เท่านั้นแหละ เมธาวีก็มองไปรอบๆ เห็นทุกคนจ้องมองมายังพวกเธออย่างที่เขาบอก จึงยอมเดินลากกระเป๋าไปยังห้องที่เจ้าของร้านชี้ ด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
“ไม่มีอะไรครับแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะครับที่ทำให้เสียเวลา วันนี้ทางร้านลดราคาเครื่องดื่มให้ลูกค้า50% ทุกเมนูเป็นการขอโทษครับ”
ธนนท์บอกกับลูกค้าก่อนจะเดินตามทั้งสองคนเข้าไปในห้องทันที
“มันเกิดอะไรขึ้นวะ”
“ก็ยัยเด็กนี่ มากล่าวหาว่ากูจับก้นแบน ๆ ของหล่อน”
เด็กนี่อย่างนั้นหรือธนนท์มองสำรวจหญิงสาวอีกคน จากสายตาที่เห็น ถึงผู้หญิงคนนี้จะดูเด็ก แต่ก็ไม่ได้เด็กมากถึงขนาดนั้น แถมยังเป็นสาวสวยหน้าตาดีอีกต่างหาก ผมยาวสลวยของเธอถูกมัดเป็นหางม้า ดวงตาโตกลมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเข้ารูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มจิ้มลิ้ม แถมรูปร่างบางโค้งเว้าเป็นสัดส่วนอย่างสาวสะพรั่ง ธนนท์คิด