ตอนที่ 1
วันนั้น เป็นวันแรกที่เขาได้มีโอกาสพบและทำความรู้จักกับเธอ ผู้หญิงที่จู่ๆ ก็เข้ามาวิ่งเล่นนอนเล่นในหัวใจของเขา ผู้หญิงที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากมายนัก แต่สิ่งที่เธอเป็น ตัวตนของเธอ ความน่ารักสดใสกลับค่อยๆ เข้ามาครอบครองพื้นที่ในหัวใจของเขา มารู้ตัวอีกที เขาก็ตกหลุมรักเธออย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
วันนั้น เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัย ธีรัชต์รับหน้าที่สอนนิสิต ป.โท ที่จะต้องเรียนในชั่วโมงหรือที่เรียกกันว่า ‘Coursework’ เป็นเทอมสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการทำวิทยานิพนธ์เพื่อจบการศึกษาอย่างจริงจัง ข้อดีของการสอนนิสิต ป.โท คือ คนเรียนน้อยเพราะส่วนใหญ่จะถูก ‘เด้ง’ ออกจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เทอมแรกเนื่องจากเกรดเฉลี่ยไม่ผ่านเกณฑ์ พวกที่เหลือรอดมาถึงมือเขาได้นี่ถือว่าต้องเก่งพอในระดับหนึ่ง และเพราะคนเรียนน้อย ไม่ถึงสิบคนนี่แหละที่ทำให้เขาสามารถไล่จี้ถามถึงสิ่งที่เขาสอนไปได้อย่างถนัด ยิ่งคนน้อยก็ยิ่งจำหน้าและสามารถประเมินความสามารถของนิสิตแต่ละคนได้ดี ไม่เหมือนกับนิสิต ป.ตรีที่คนเรียนยี่สิบถึงสามสิบคนขึ้นไป ทำให้เขาไม่สามารถจี้ถามได้ครบทุกคนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
“เดี๋ยวผมขอเช็คชื่อ ทำความรู้จักหน้าค่าตาของพวกคุณก่อนแล้วกันนะครับ” ธีรัชต์เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มนิดๆ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาบรรดานิสิตสาวแท้สาวเทียมต้องแอบใช้ฝ่าเท้าสะกิดกันไปมา คงยกเว้นแต่นิสิตที่เป็นชายแท้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นกระมัง ที่ได้แต่มองเพื่อนร่วมห้องของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างปลงๆ “คุณณกุล”
“ครับ” ณกุล นิสิตชายแท้เพียงหนึ่งเดียวขานรับ
“คุณโศภิตา”
“ค่ะอาจารย์” โศภิตา สาวร่างอวบขานรับด้วยใบหน้าแป้นแล้น
“คุณดวงฤทธิ์”
“ครับอาจารย์” ชื่อดวงฤทธิ์ แต่เสียงที่ขานรับนั้นน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นดวงฤทัยเสียมากกว่าในความรู้สึกของณกุล
“เอ๊ะ...ขาดไปคนหนึ่งหรือเปล่าครับ ขอโทษ...คุณชื่ออะไรครับ มุทิตาหรือหนูพุก”
“มุทิตาค่ะ ส่วนยัยหนูพุก...” มุทิตากล่าวยังไม่ทันจบ ประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดผ่างออกด้วยฝีมือของหนูพุกที่ก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้ามาสีหน้าตื่นตระหนกออกไปทางซีดเผือดด้วยซ้ำเมื่อรู้ตัวว่าเข้าเรียนสาย
“ขอโทษค่ะ” หนูพุกก้มศีรษะเป็นเชิงทำความเคารพอาจารย์หนุ่มที่มองเธอด้วยสายตางุนงงนิดๆ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพยักหน้ารับและบอกให้เธอไปนั่งรวมกับเพื่อน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเพิ่งเข้ามา ยังไม่ได้เริ่มสอน คุณไปนั่งที่เถอะ”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์...โอ๊ย!” ยังไม่ทันจะได้อะไร ร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระโปรงสีฟ้าอ่อนจีบรอบก็ชนเข้ากับเก้าอี้เลคเชอร์เข้าอย่างแรงจนธีรัชต์เบิกตาน้อยๆ อย่างตกใจ รีบสั่งให้เพื่อนๆ ช่วยดูอาการ ในขณะที่เพื่อนๆ นั้นแม้จะลุกมาช่วยพยุงร่างบาง แต่สีหน้าแต่ละคนก็เจือด้วยอาการขบขันเพราะปกติ หนูพุกนั้นถือว่าเป็นคนที่ตรงต่อเวลามากกว่าใคร พอมาสายทีก็ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะรีบถึงขนาดปล่อยความ ‘โก๊ะ’ แบบนี้ออกมา
“เป็นอะไรมากมั้ยครับคุณหนูพุก” ธีรัชต์เอ่ยถามเมื่อหญิงสาวเข้าที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ครั้นเมื่อสาวเจ้าเงยหน้าขึ้นมาหมายจะตอบเขา จึงได้เห็นดวงหน้าเจ้าของชื่อนั้นออกจะซีดๆ ซ้ำยังมีเหงื่อผุดพรายเต็มดวงหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด แต่ในความรู้สึกของธีรัชต์นั้น หญิงสาวกลับดูน่ารักอย่างเป็นธรรมชาติเผลอๆ ดูจะหน้าเด็กกว่านิสิต ป.ตรีหลายคนเสียอีก
“ไม่เป็นอะไรค่ะอาจารย์ ขอโทษด้วยนะคะที่มาสาย” เจ้าหล่อนตอบด้วยรอยยิ้มแหยๆ อย่างลุแก่โทษ แต่อาจารย์หนุ่มก็ไม่คิดถือสา ด้วยนิสัยของเขานั้นถึงแม้จะค่อนข้างเจ้าระเบียบและเคร่งครัดต่อเวลามากแค่ไหน แต่พอเห็นสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าดำหน้าแดง แถมยังต้องมาเจ็บตัวจากความรีบร้อนเมื่อครู่นี้อีก ก็ทำให้อดใจอ่อนเสียไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวก็พยายามที่จะรักษาเวลาอยู่เหมือนกัน บางทีอาจจะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างทำให้เธอมาสายตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมก็เป็นได้
“ถ้าอย่างนั้น เรามาเริ่มเรียนกันเลยนะครับ นี่เป็นคอร์สซิลิบัส คุณช่วยแจกให้เพื่อนด้วยครับ” ธีรัชต์ยื่นปึกเอกสารแจกแจงรายละเอียดของวิชาที่เรียนขนาดเอสี่ที่เย็บรวมกันประมาณสองสามแผ่นให้กับณกุลเพื่อแจกจ่ายให้เพื่อนร่วมห้องที่จากเทอมแรกมาจนถึงตอนนี้เหลือเพียงแค่ห้าคน ลดลงไปครึ่งต่อครึ่งกับตอนที่รับเข้ามา ซึ่งมันก็เป็นปกติของการเรียนในระดับ ป.โท และธีรัชต์เองก็ชินชาเสียแล้ว
“นี่ พุก...เป็นอะไรทำไมมาสาย” ณกุลกระซิบถามเพื่อนสาวที่ต้องเรียกว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียน ป.ตรี ก่อนจะพากันมาสอบเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้หลังจากไปทำงานเพื่อหาประสบการณ์ได้ปีกว่าๆ แต่ที่มากไปกว่าความเป็นเพื่อนก็คือ...ชายหนุ่มนั้นแอบเป็นเพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อต่อหนูพุกมานานหลายปีแล้ว เพียงแต่เพราะความเป็นเพื่อนนี่แหละที่ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าจะเอ่ยความในใจออกไป ซ้ำหนูพุกเองก็ไม่ได้ท่าทีตะขิดตะขวงสงสัยในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ออกจะไม่ได้สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยเสียด้วยซ้ำ
“ก็รถเมล์ดันชนกันตรงสี่แยกน่ะสิ เราเลยต้องกระโดดลงรถโบกมอเตอร์ไซค์มาจนหัวยุ่งหน้าตึงแล้วเนี่ย” เสียงหวานกระซิบตอบแกมบ่นอุบอย่างหงุดหงิด ทั้งยังใช้ปลายนิ้วเรียวของตนสางผมยาวๆ ที่เวลานี้พันกันยุ่งจนสางไม่ออก
“ฉันคิดว่าแกจะโดดเรียนคาบแรกของอาจารย์ธีรัชต์สุดหล่อซะแล้ว” ดวงฤทธิ์ชะโงกหน้ามาใกล้และกระซิบพลางหัวเราะคิกคักกับหนูพุกในขณะที่ ณกุลนิ่วหน้าและเค้นเสียงว่า
“เบาๆ หน่อยมั้ยเจ๊ กลัวอาจารย์ไม่ได้ยินหรือไง”
“ณกุล ไม่รู้หรือไงว่าไอ้ดวงมันเอฟซีอาจารย์ธีรัชต์ตั้งแต่ตอนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนแล้ว” มุทิตายื่นหน้ามาว่าแล้วหันไปหัวเราะต่อกระซิกกับโศภิตาที่นั่งข้างๆ ก่อนจะสะดุ้งกันเป็นแถวเมื่อเสียงห้าวราบเรียบของอาจารย์ธีรัชต์ดังขัดขึ้น
“ตอนพวกคุณสอบเข้ามาใหม่ๆ ผมเป็นคนสอบสัมภาษณ์พวกคุณสินะครับ” คำกล่าวที่เหมือนจะเป็นการชวนสนทนา ทว่า กลับทำให้บรรดานิสิตทั้งห้ามองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยไม่แน่ใจว่าที่อาจารย์เอ่ยมาเป็นการชวนคุยธรรมดาหรือต้องการจะเตือนว่า ‘นินทาอะไรเขาได้ยินหมด’ กันแน่
“ค่ะอาจารย์ แต่ตอนนั้นพวกเรามีกันสิบคน ตอนนี้เหลือแค่ห้า” โศภิตาเป็นคนต่อบทสนทนาด้วยรอยยิ้มที่พยายามให้กว้างที่สุดเพื่อบอกอาจารย์เป็นนัยๆ ว่า เมื่อครู่เธอกับเพื่อนๆ ไม่ได้นินทาอะไรอาจารย์เลยจริง...จริ๊ง...
“เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา” ธีรัชต์เพียงยิ้มรับเล็กน้อยและดึงนิสิตเข้าสู่การเรียนการสอน “วิชานี้ พัฒนาการของระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราจะดูกันเรื่องของพัฒนาการทางการทูต ซึ่งเริ่มต้นมาจากยุโรป โดยเริ่มต้นจากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย ในคลาสนี้ ผมจะแบ่งช่วงสำคัญๆ คือ ยุโรปสมัยกลาง ยุคเรเนซองส์ การปฏิรูปศาสนา สงครามสามสิบปีซึ่งเป็นที่มาของสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย แล้วเราจะศึกษาการทูตในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง สุดท้ายคือศึกษาเกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศหรือ International Organizations”
แค่อธิบายว่าวิชานี้จะต้องเจอกับบทเรียนอะไรบ้าง บรรดานิสิตของเขาก็ถึงกับอ้าปากค้างทำตาปริบๆ กันเป็นแถว ซึ่งเขาเดาว่าคงจะมีกิริยาเช่นนี้กับทุกๆ วิชา...นี่เขาแค่บอกรายละเอียดสิ่งที่ต้องเรียนนะ ยังไม่ได้พูดถึงวิธีตัดเกรดหรือผลการเรียนรายวิชา ไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตาตั้งกันเลยทีเดียว แต่กระนั้น ก็ยังมีคนใจกล้ายกมือชูหรากลางอากาศเอ่ยถามประเด็นนี้ขึ้นมา...คนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นนิสิตที่ชื่อหนูพุก
...แปลกดี เขาไม่เคยได้ยินใครมีชื่อจริงแบบนี้มาก่อน ถ้าชื่อเล่นล่ะมีเกลื่อน แต่มันก็ติดหูไม่น้อยเลย…
“อาจารย์คะ แล้วเรื่องการตัดเกรด...”
“นำเสนอหน้าชั้นเรียนบวกทำเปเปอร์ รวมกันยี่สิบคะแนน ผมบอกก่อนนะว่านี่เป็นงานเดี่ยว” ว่าแล้วก็แอบอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นลูกศิษย์หลายคนอ้าปากค้างก่อนจะตาถลนอีกครั้งกับประโยคต่อมาของเขา “คะแนนเต็มร้อยยี่สิบคะแนน คะแนนเก็บยี่สิบคะแนนอย่างที่บอกไป ส่วนอีกหนึ่งร้อยคะแนน เราจะไปสอบทีเดียวตอนปลายภาค”
“ค่ะ/ครับ” เสียงตอบรับนั้นราวกับทุกคนกำลังละเมอ
เอาล่ะเว้ยเฮ้ย...อาจารย์สุดหล่อขวัญใจนิสิตเก้งกวางชะนีออกฤทธิ์เสียแล้ว...ภายใต้ท่าทางสุภาพนุ่มนวลกับน้ำเสียงทุ้มน่าฟังนั้น เคลือบแฝงไปด้วยความโหดร้ายเสียจริงๆ...หนูพุกคิดอยู่ในใจขณะหันไปสบตากับเพื่อนๆ ที่เชื่อว่าคงคิดไม่ต่างจากเธอ
“ผมจะเริ่มพูดถึงยุโรปในสมัยกลางเพื่อดูที่มาที่ไปก่อนจะเกิดสงครามสามสิบปี นำมาซึ่งสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย” ธีรัชต์เข้าเรื่องทันที และก็ทันทีอีกเช่นกันที่บรรดาลูกศิษย์สลัดความคิดวิตกเรื่องเกรดทิ้งแล้วเปิดสมุดจับปากกาจดตามเลคเชอร์ของเขาขยุกขยิก “ในโลกใบนี้มีความพยายามพัฒนาอารยธรรม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างดินแดนเรื่อยมาจนมาถึงปัจจุบัน ก็จะมีความพยายามสร้างระบบที่มนุษย์มองว่าเป็นปกติในยุคนั้นๆ เช่นในปัจจุบันของเรา เราก็จะมองว่าระบบรัฐที่ไม่ขึ้นต่อกันเป็นเรื่องปกติ แต่ในยุคกลางของยุโรป มันสะท้อนให้เห็นถึงระบบที่เรียกว่าไฮราร์กี (hierarchy)...”
การเรียนการสอนในคลาสของอาจารย์ธีรัชต์สำหรับนิสิต ป.โทที่ใกล้จะเข้าสู่กระบวนการทำวิทยานิพนธ์เต็มทีนั้น ดูจะไม่มีอะไรเคร่งเครียด ออกจะสบายเสียด้วยซ้ำเพราะอาจารย์ให้เลคเชอร์ตามอย่างเดียว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ อาจารย์สุดหล่อแต่แอบโหดชอบย้อนถามเรื่องความรู้เก่าๆ ที่เคยเรียนมาในคลาสก่อนๆ แน่นอนล่ะว่า...กว่าจะหาคำตอบมาให้อาจารย์ได้ มันคือช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘เดดแอร์’ (dead air)
“ว่าไงครับ ไฮราร์กีต่างจากอนาร์กี (anarchy) ในระบบรัฐสมัยใหม่ยังไง” นี่แหละหลังจากคำถามนี้ ก็ทำให้ทุกคนรู้ว่า อาจารย์มีความอดทนในการรอคอยคำตอบมากกว่านิสิตที่เริ่มร้อนใจเพราะสายตาคมกริบของอาจารย์ธีรัชต์นั้นจ้องมองมาเหมือนจะบอกเป็นนัยว่า...ผมจะรอจนกว่าพวกคุณจะตอบคำถามของผม...ซึ่งมันยิ่งกว่าการกดดันเสียอีก
“คือ...ไฮราร์กีมีลักษณะเป็นอำนาจที่รวมศูนย์หรือ central authority ส่วนอนาร์กี รัฐจะมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตัวเอง ไม่ขึ้นตรงกับรัฐหรือมหาอำนาจอื่น มีลักษณะไม่รวมศูนย์ค่ะ”
ในที่สุด คนที่ต้องตอบคำถามนี้ก็คือสาวน้อยหนูพุกที่แม้เสียงที่ตอบนั้นจะค่อนข้างเบาและสีหน้าก็แสดงความไม่มั่นใจแบบสุดๆ แต่หญิงสาวก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาเมื่อธีรัชต์พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า คำตอบของเธอถูกต้อง
แต่งานนี้ พวกเธอก็โล่งอกได้ไม่นาน เพราะเพียงครู่ คำถามใหม่ๆ ก็จะตามมาไม่รู้อีกกี่คำถามกว่าจะหมดสามชั่วโมงสำหรับการเรียนในคาบแรก